การขึ้นกูมึง ภาษาลูกทุ่งในนิยายของ “ไม้ เมืองเดิม” ต่างความหมายกับ “ตัวกู ของกู” ภาษาธรรมของท่านอาจารย์พุทธทาส และยิ่งต่างจาก “พ่อกูชื่อศรีอินทราทิตย์” ในจารึกพ่อขุนรามคำแหงเพราะกูสมัยสุโขทัย ราว 700 ปีที่แล้ว คนที่ใช้เรียกตัวเอง เป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินและหากย้อนหลังไปไกลถึงสมัยสามก๊ก 1800 ปี มีขนบการใช้กูหลายซับหลายซ้อนคำถามที่ 44 ใน 101 คำถามสามก๊ก (หลี่ฉวนจวิน และคณะ เขียน ถาวร สิกขโกศล แปล มติชน พิมพ์ พ.ศ.2556) โจโฉยังมิได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ แต่ทำไมใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า “กู”พงศาวดารสามก๊กจี่ เล่ม 1 แถลงปณิธานของโจโฉว่า “ได้ดำรงตำแหน่งไจ่เซี่ยง (อัครมหาเสนาบดี) มีเกียรติยศสูงสุดเกินความคาดหวัง หากประเทศชาติไม่มีกู ไม่รู้ว่าจะมีคนตั้งตัวเป็นอ๋อง ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้กันกี่คน?ตอนนั้นโจโฉกำลังปราบอ้วนเสี้ยว รวมดินแดนภาคเหนือเป็นเอกภาพ ราชสำนักปูนบำเหน็จให้เป็นอู่ผิงโหว (พระยาศานติยุทธ์) คำว่า “กู” เป็นสรรพนามถ่อมตัวของเจ้าผู้ครองนคร ในยุคโบราณ เทียบได้กับคำว่า “ผู้ต่ำต้อย”พงศาวดารจั่วจ้วน ปีที่ 11 กล่าวว่า ฤดูสารท แคว้นซ่งเกิดอุทกภัย ประมุขแคว้นซ่งกล่าวว่า นี่เป็นเพราะกูไม่เคารพฟ้า ฟ้าจึงส่งอุบัติภัยลงมา เมื่อแคว้นทั้งหลายเกิดอุบัติภัย ประมุขเรียกตัวเองว่ากู จึงถูกต้องตามจารีตเรื่องนี้ขงอิ่งต๋า คนยุคราชวงศ์ถังทำคำอธิบายขยายความไว้ว่า ไม่มีอุบัติภัย ประมุขเรียกตัวเองว่า “กว่าเหญิน” หากมีอุบัติภัยเรียกตัวเองว่า “กู” แล“กู” เดิมเป็นคำเรียกตัวเองของประมุขแคว้นเล็ก แต่แคว้นใหญ่ยามประสบภัยก็เรียกตัวเองว่า “กู” เหมือนกันโจโฉเป็นสามนตราชแคว้นใหญ่ที่สุดในยุคสามก๊ก แต่ทว่าก่อนตาย ยังใช้สรรพนามแทนตนว่ากู เห็นได้ว่าเขาเป็นคนเคารพจารีต แสดงออกถึงความถ่อมตน พฤติกรรมเช่นนี้ยิ่งสามารถเรียกความศรัทธาจากผู้คนได้อย่างดีในยุคสามก๊ก มิใช่โจโฉเรียกตัวเองว่ากูเล่าปี่ และซุนกวนก็เรียกตัวเองว่ากูเหมือนกัน พงศาวดารก๊กจี่ภาคจ๊กก๊ก บันทึกคำพูดเล่าปี่ไว้ว่า “กูได้ขงเบ้งดังปลาได้น้ำ”นิยายสามก๊กตอนที่ 43 กล่าวว่า โจโฉประกาศสงครามแก่ซุนกวน ซุนกวนประชุมขุนนาง คนส่วนใหญ่เสนอให้ยอมสวามิภักดิ์ โลซกกลับเสนอให้รบ ซุนกวนจึงกล่าวว่า“ข้อเสนอของคนทั้งหลายทำให้กูผิดหวัง โลซกเสนอแผนมาตรงใจข้า”ขงเบ้งก็เคยใช้สรรพนามว่า “กู” ข้อความจากหนังสือสู่จี้ ตอนหนึ่ง เมื่อเจียวจิวแขกเมืองไปพบขงเบ้งครั้งแรกก็อ้ำอึ้ง ขุนนางต่างหัวเราะ เขากลับออกไปทันที มีคนถามถึงเรื่องนี้ ขงเบ้งตอบว่า “กูยังระงับไว้ไม่ไหว”ขงเบ้งให้สรรพนามแทนตัวเองว่า กู เพราะเขามีบรรดาศักดิ์เป็นอู่เซียวโหว ข้าหลวงมณฑลเอ๊กจิ๋วจึงใช้กู เป็นคำถ่อมตนแสดงฐานะผู้บริหารราชการแคว้นเล็กได้ถูกต้องตามความจริงสรุปความ...การใช้คำว่ากูของแต่ละผู้ยิ่งใหญ่ในสามก๊ก ระดับไจ่เซี่ยง อัครมหาเสนาบดี มีกาลเทศะ มีจังหวะจะโคน สง่างามน่านับถือ แล้วก็ลองนึกๆถึงบ้านเมืองยุคใหม่ สองเมืองเมืองแรก ไม่เหิมเกริมตั้งยศศักดิ์ เรียกผู้นำจิตวิญญาณ แต่รู้ๆกัน สั่งและเสือกได้ทุกเรื่อง เมืองใกล้ๆตั้งตัวเป็นสมเด็จฯเต็มอัตรา ตำแหน่งเป็นประธานสภา...แต่จะตั้ง จะปลดข้าราชการเล็กใหญ่ ได้ทันใจใครจะกล้าหืออือ เพราะฯพณฯใหญ่จริงๆอยู่คนเดียวแต่เพราะระบบการเมืองไม่เหมือนกัน สมเด็จฯบ้านเมืองนั้น ส่งทหารไปรบตายใกล้หมื่น ปล่อยศพให้เน่าส่งกลิ่นเรียกแร้งบินว่อน หมาหอนโหยหวนประจานข้ามเขตแดน... สมเด็จฯท่านก็ยังเฉยได้ไม่หนาวร้อนส่วนอีกบ้านเมือง บังเอิญต้องมีสองกู...วาสนาชะตากำลังจะตก... มีคนเดา ท่านจะหลุดจากตำแหน่งในไม่กี่วันข้างหน้าเออ! ให้มันรู้กัน กูพ่อลูกยุคใหม่ไม่มีน้ำยาเหลืออยู่แล้วจริงๆ.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม