กระแสความตื่นตัวของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกกำลังเดินหน้าเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญของยุคสมัย เมื่อเพียงแค่ครึ่งปีแรกของปี 2568 การลงทุนในสตาร์ตอัพ AI ทั่วโลกกลับพุ่งทะลุสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์ แซงหน้าตัวเลขรวมของทั้งปี 2567 ไปแล้วอย่างขาดลอยความเคลื่อนไหวนี้ไม่เพียงตอกย้ำว่า AI จะกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจใหม่เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการย้ายศูนย์กลางการลงทุนจากภาคธุรกิจเดิมไปสู่เทคโนโลยีล้ำยุคที่กำลังเปลี่ยนโฉมโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนข้อมูลล่าสุดจากหลายแหล่งยืนยันตรงกันว่า เม็ดเงินที่หลั่งไหลเข้าสู่สตาร์ตอัพ AI ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ามากกว่า 2 เท่า ของช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน และเกือบแน่นอนว่าตัวเลขรวมตลอดทั้งปี 2568 จะทำลายสถิติการลงทุน AI ตลอดกาล แม้กระทั่งในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปีที่กองทุนร่วมลงทุนหรือ Venture Captital (VC) ทั่วโลกทุ่มเงินลงทุนอย่างมหาศาลจาก ภาวะดอกเบี้ยต่ำก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าได้หากนับเฉพาะภาค AI ที่เติบโตโดดเด่นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ผลักดันการเติบโตแบบก้าวกระโดดคือความนิยมในสาขา Generative AI และโมเดลพื้นฐาน (Foun dation Models) ที่สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายตั้งแต่การผลิตเนื้อหา การเขียนโค้ด ไปจนถึงการสนับสนุนด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งกลายเป็นแกนกลางของการแข่งขันระดับโลก ส่งผลให้บริษัทชั้นนำอย่าง OpenAI, Anthropic และ xAI สามารถระดมเงินทุนระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์ได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปีนอกจากนี้ ยังมีคลื่นเงินทุนไหลเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เช่น ชิปประมวลผล คลาวด์เซิร์ฟเวอร์ และระบบเร่งความเร็วโมเดลขนาดใหญ่ กลุ่มนี้ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่มองเห็นว่าใครถือโครงสร้างพื้นฐาน ย่อมมีโอกาสควบคุมการเติบโตของ AI ในระยะยาว การแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์ AI จึงดุเดือดขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะในหมวดชิปเฉพาะทางและศูนย์ข้อมูลความเร็วสูงกลุ่มที่มาแรงเป็นลำดับถัดมาคือหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ซึ่งกำลังเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมและบริการด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้หลายบริษัทในภาคคลังสินค้า โลจิสติกส์ และการผลิตทุ่มเงินปรับระบบหุ่นยนต์ของตนเองให้รองรับ AI ขณะเดียวกัน ภาคสุขภาพและชีววิทยาก็เริ่มเห็นบทบาทชัดเจนขึ้นในการใช้ AI ค้นพบยารุ่นใหม่ วินิจฉัยโรค และบริหารจัดการโรงพยาบาล อีกหมวดที่น่าจับตามองคือ AI ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งจากการเพิ่มขึ้นของภัยคุกคามไซเบอร์ระดับสูงในยุคหลังโควิด-19 สตาร์ตอัพที่นำ AI เข้ามาช่วยตรวจจับและตอบสนองภัยไซเบอร์แบบอัตโนมัติเริ่มได้รับเงินทุนมากขึ้น โดยเฉพาะ ในกลุ่มคลาวด์และซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยระดับองค์กรอย่างไรก็ดี ท่ามกลางความเฟื่องฟู นักวิเคราะห์จำนวนมากเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของการเติบโตในอัตราเร่งดังกล่าว โดยเฉพาะเมื่อการประเมินมูลค่าของหลายบริษัทดูจะสูงเกินไปจากรายได้จริง และการกระจุกตัวของเงินทุนในบริษัทไม่กี่รายทำให้ตลาดเปราะบาง หากเกิดความล้มเหลวของผู้เล่นรายใหญ่เพียงรายเดียว ก็อาจส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งระบบปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตาได้แก่ ความล่าช้าในการกำกับดูแล AI ของภาครัฐทั่วโลก ซึ่งอาจกลายเป็นแรงกดดันต่อบริษัทเทคโนโลยี การหยุดชะงักของห่วงโซ่การผลิตชิปขั้นสูงจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ และความอิ่มตัวของเทคโนโลยีหากไม่สามารถสร้างคุณค่าในระดับมหภาคได้จริงในระยะยาวหาก AI สามารถรักษาความก้าวหน้าด้านเทคนิคและสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ตามที่สังคมคาดหวัง การลงทุนในช่วงนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระดับโลก โดยเฉพาะเมื่อโลกกำลังก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มรูปแบบอย่างไรก็ตาม แม้ในปี 2568 จะเป็นช่วงเวลาแห่งการลงทุน AI อย่างคึกคักที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็แฝงด้วยความท้าทายที่ไม่อาจมองข้าม หลายฝ่ายเริ่มกังวลถึงความเสี่ยงเชิงฟองสบู่ จากการประเมินมูลค่าที่พุ่งสูงและการกระจุกตัวของเงินทุนหากความคาดหวังต่อ AI เกินจริง หรือเกิดแรงกระทบจากภายนอก เม็ดเงินอาจไหลออกอย่างรวดเร็ว การรักษาสมดุลระหว่างการเร่งนวัตกรรมกับวินัยการลงทุนจึงเป็นกุญแจสำคัญต่อเสถียรภาพของตลาดในระยะยาว.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทความไซเบอร์เน็ต” เพิ่มเติม