ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ เหตุการณ์ ระหว่างไทย-กัมพูชาคลี่คลายไปได้ระดับหนึ่งไม่มีการสู้รบกันบริเวณชายแดนชาวบ้านชาวช่องคงสบายใจได้ไม่ต้องหวาดหวั่นกับเสียงลูกปืนเสียงระเบิดแต่ก็ต้องระวังเพราะชื่อว่ากัมพูชานั้นไว้ใจไม่ค่อยได้ทางที่ดีฝ่ายทหารจะต้องเตรียมพร้อม อยู่ตลอดเวลารัฐบาลก็ต้องรุกหน้าทางด้านทูตเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจกับนานาชาติว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นไทยไม่ได้ก่อแต่เป็นผู้ถูกกระทำจึงต้องประณามและมีมาตรการป้องกันเพื่อให้ทั่วโลกรุมสาปแช่งที่สำคัญวันนี้มีหลายประเทศได้เข้ามาขอร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วย โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ จีนดังนั้นตัวแปรจึงเพิ่มมากขึ้นเพราะแต่ละประเทศที่เข้ามาล้วนมีผลประโยชน์ที่พวกเขาต้องการในรูปแบบต่างๆ ไทยจึงต้องเกาะติดอย่าให้คลาดสายตาอย่างเด็ดขาด“ฮุน เซน” ได้แสดงท่าทีกับสหรัฐฯให้เห็นมาแล้วก็ว่ากันไป...แต่สถานการณ์ในประเทศที่เห็นและกำลังจะเกิดขึ้นก็คือความเป็นไปของผู้นำประเทศ “แพทองธาร ชินวัตร” นายก รัฐมนตรี ซึ่งถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ล่าสุดได้ยื่นขอให้ศาลรัฐธรรมนูญขยายเวลาส่งคำชี้แจงกรณี “คลิปฉาว” ออกไปอีก 15 วัน แต่ศาลอนุญาตให้แค่วันที่ 4 ส.ค.2568 เท่านั้นจากนั้นก็จะมีคำสั่งกำหนดวันพิจารณา ตัดสินจะเป็นวันไหนก็ติดตามกันต่อไปแต่ที่แน่ๆใกล้ถึงจุดระทึกใจแล้ว!จากนั้นก็มาถึงกรณีของ “พ่อ” บ้าง เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหลังจากไต่สวนพยานปากสุดท้ายแล้วก็ได้นัดหมายให้มาฟังคำพิพากษา 9 ก.ย.2568นี่คือคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจว่าด้วยการ “ป่วยทิพย์”ก่อนหน้านั้นจะมีการตัดสินคดี ม. 112 ซึ่งมาเร็วกว่า ผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องลุ้นอีกเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าคดีนี้หากหลุดก็จะทำให้เป็นอิสระสามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ก็เลยมีการพูดกันว่าอาจจะเป็นช่วงจังหวะเหมาะที่จะเดินทางออกไปนอกประเทศเพื่อตั้งหลักหากไม่มั่นใจว่าจะโดนคดี “ป่วยทิพย์” หรือไม่คือสามารถหนีคดีไม่ต้องติดคุก อีกครั้งเป็นอันว่า 2 พ่อลูกกำลังเดินเข้าบ่วงกรรมที่มิอาจหลบเลี่ยงได้ อยู่ที่ว่าจะต้อง “ติดบ่วง” หรือ “หลุดบ่วง”ก็เป็นเรื่องของบุญวาสนาใครทำดีก็ได้ดีใครทำชั่วไว้ก็รับกรรมไป!แต่ที่แน่ๆก็คือรัฐบาล “เพื่อไทย” วันนี้ป่นปี้ไปตามสภาพ ปกติก็แย่อยู่แล้วเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้ คะแนนก็ร่วงมาเรื่อยๆแถมมาเจอเรื่องกัมพูชาเข้าไปอีกคะแนนก็ยิ่งดำดิ่งต่ำเตี้ยทวีคูณเพราะที่หวังว่าจะอาศัยเรื่องมาแก้ไข ภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นกลับหนักซ้ำเข้าไปอีกเพราะไหนที่จะเรียกคะแนนคืนกลับทำให้ศรัทธาถดถอยลงไปอีกเพราะประชาชนไม่พอใจในการแก้ไขปัญหาแต่กลับให้คะแนน “ทหาร” เกิน 100%วันนี้นักการเมืองไม่ว่าหน้าไหนพรรคไหน แม้กระทั่งพรรค “ส้ม” ของคนรุ่นใหม่ก็เคยมีทัศนคติแง่ลบต่อทหารก็ยังต้องเงียบปิดปากไม่กล้าโผล่หน้าเหมือนเคย!ลิขิต จงสกุลคลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม