ทหารไทย-กัมพูชาสู้กันทิ้งทวน 10 นาทีสุดท้าย ก่อนเดดไลน์หยุดยิง ใช้อาวุธหนักโจมตี F-16 ทิ้งบอมบ์ เหล่าทหารกล้านับร้อยสุดห้าวหาญไม่กลัวตาย วิ่งออกจากบังเกอร์ ดาหน้าถล่มใส่ฝ่ายกัมพูชาแบบถวายชีวิตที่ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ สู้สุดใจขาดดิ้นจนสามารถยึดกลับคืนมาได้ ขณะที่ทหารกัมพูชาละเมิดข้อตกลงไม่ยอมหยุดยิง แถมยังก่อกวนยิงใส่ทหารไทยเป็นระยะจนถึงเช้ามืดวันที่ 29 ก.ค. กองทัพบกประณามกัมพูชาละเมิดให้ประชาคมโลกรับรู้ แม่ทัพภาคที่ 2 ตั้งโต๊ะถกรอง ผบ.ทบ.กัมพูชา และ ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 4 ได้ข้อตกลง 7 ข้อ อาทิ หยุดยิงที่ช่องจอม ห้ามยิงประชาชน หยุดเพิ่มเติมกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง อำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ จัดตั้งชุดประสานงานเพื่อ แก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน ระหว่างเจรจาเผยฝ่ายกัมพูชา ไม่กล้าสบตาแม่ทัพภาคที่ 2 “ณัฐพล” เผยเจรจาหยุดยิงไม่มีเงื่อนไขภาษีทรัมป์มาเกี่ยวข้อง “ภูมิธรรม” อ่านแถลงการณ์รัฐบาล ซัดกัมพูชาไม่ซื่อตรง “มาริษ”เผยนานาชาติรับรู้กัมพูชาละเมิดข้อตกลง ทหารล้อมรั้ว ลวดหนามปราสาทตาเมือนธมแล้วสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังมีข้อตกลงให้ไทย-กัมพูุชา หยุดยิงในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 28 ก.ค. และมีการแถลงร่วมอย่างเป็นทางการที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพเพื่อหาแนวทางสันตินั้น แต่ข้อเท็จจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนฝ่ายกัมพูชากลับไม่ทำตามข้อตกลง แต่มีการระดมยิงใส่ฝ่ายไทยอยู่เป็นระยะ ฝ่ายไทยโต้ตอบกลับอย่างดุเดือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปราสาท ตาควาย จ.สุรินทร์ ที่กัมพูชาพยายามรุกคืบจะยึดเอาจากไทยให้ได้ ทว่าทหารไทยฮึดสู้ไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่ง ถึงขนาดยอมตายวิ่งกรูออกจากบังเกอร์เป็นหน้ากระดานนับร้อยนายขึ้นไปบนตัวปราสาท ถืออาวุธปืนดาหน้ายิงต่อสู้กับฝ่ายกัมพูชาที่อยู่ด้านล่าง ชนิดยอมสละแล้วซึ่งชีวิตนี้เพื่อต้องการพิทักษ์รักษาดินแดนปกป้องอธิปไตยไทยอย่างสุดกำลัง จนสามารถยึดปราสาทตาควายกลับคืนมาได้ไทย–กัมพูชา ยิงตอบโต้กันถึงเช้าเวลา 07.15 น. วันที่ 29 ก.ค. พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ภายหลังครบกำหนดหยุดยิงตามข้อตกลงระหว่างนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ กับ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกฯ กัมพูชา กองทัพบกได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่กองกำลังสุรนารี ถึงสถานการณ์ช่วงกลางดึกคืนวันที่ 28 ก.ค. ต่อเนื่องถึงช่วงเช้าวันที่ 29 ก.ค. พบว่า ในพื้นที่ภูมะเขือทหารไทยถูกก่อกวนโดยฝ่ายกัมพูชา มีการยิงปะทะตอบโต้จากทั้งสองฝ่ายจนถึงช่วงเช้า นอกจากนี้ ในพื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ยังมีการยิงปะทะกันเกิดขึ้นเช่นกันจนถึงเวลา 05.30 น.ทหารไทยจัดหนัก 10 นาทีก่อนเดดไลน์ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ขณะที่เหลือเวลาอีก 10 นาทีสุดท้ายก่อนถึงเวลาเดดไลน์ คือเวลา 00.00น. ทหารไทยกับทหารกัมพูชาปะทะอย่างดุเดือด มีการใช้อาวุธหนักโจมตี ด้วยเครื่องบินขับไล่ F-16 บินขึ้นกลางเวหา ปฏิบัติการทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา เช่น พื้นที่ภูผี ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควายสู้สุดชีวิตยึดพื้นที่คืนมาได้ 11 จุดต่อมา พลเรือตรีสุรสันต์ คงศิริ โฆษก ศบ.ทก. แถลงว่า สรุปสถานการณ์ในพื้นที่การปะทะ ณ เวลา 24.00 น. วันที่ 28 ก.ค. ก่อนการเจรจาหยุดยิงมีผล จนถึงเวลา 06.00 น. วันที่ 29 ก.ค. กองทัพไทยสามารถยึดพื้นที่ได้ 11 พื้นที่ คือ ภูมะเขือ ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ช่องบก โดนตวล สัตตะโสม ช่องจอม ช่องสายตะกู พระวิหารและพลาญยาวประณามกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงขณะที่ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า กองทัพบกขอเรียนว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัด โดยได้หยุดยิงบริเวณพื้นที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทันทีที่ถึงกำหนดเวลา ด้วยความตั้งใจจริง และยึดมั่นต่อพันธกรณีที่ได้ตกลงร่วมกันของรัฐบาลทั้งสองประเทศ แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่า ฝ่ายกัมพูชามีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ เจตนาทำลายระบบความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน กองทัพบกจึงขอประณามต่อการกระทำดังกล่าว ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากลแม่ทัพถกกัน-ตั้งชุดประสานงานแต่ละฝ่ายเวลา 11.20 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เวลา 10.30 น. วันเดียวกัน มีการพบปะหารือระหว่างผู้บัญชาการหน่วยทหารระดับพื้นที่ของทั้งสองประเทศและกองทัพบก ได้รับรายงานว่า พื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1 ได้แก่ กองกำลังบูรพา กองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้ดำเนินการพบปะหารือร่วมกับฝ่ายกัมพูชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่พื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ได้พบกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ระหว่าง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กับรอง ผบ.ทบ.กัมพูชาและ ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 4 สำหรับรายละเอียดผลการหารือพบว่า ที่ช่องจอมหยุดยิง ห้ามยิงประชาชน หยุดเพิ่มเติมกำลัง ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง อำนวยความสะดวกในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุปะทะ พร้อมทั้งจัดตั้งชุดประสานงานเพื่อแก้ปัญหาฝ่ายละ 4 คน อย่างไรก็ตามต้องรอหารืออีกครั้งตามผลการประชุม GBC ในวันที่ 4 ส.ค.สดุดีกำลังพลสูญเสีย 3 รายคืน 28 ก.ค.ด้านกองทัพบกรับรายงานกำลังพลเสียชีวิตจากการสู้รบในวันที่ 28 ก.ค. รวม 3 นาย ดังนี้ 1.จ่าสิบเอก ธีระยุทธ สีจุ้ยจ้าย สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 รายที่ 2 จ่าสิบเอก อภิรมย์ ทรงพุฒิ สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 8 รายที่ 3 พลทหารธีรยุทธ กระจ่างทอง สังกัดกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2 กองทัพบกขอสดุดีแด่กำลังพลผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ จะดูแลสิทธิสวัสดิการแก่ครอบครัวและทายาทของทหารกล้าเหล่านี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งความเสียสละของท่านเหล่านี้สูญเสียอีก 1 นาย สมรภูมิช่องอานม้าขณะที่ในเวลา 11.45 น. กองทัพบกได้รับรายงานว่ามีกำลังพลเสียชีวิตจากการสู้รบเพิ่มเติมอีก 1 นาย คือ สิบโท ต่อพงษ์ พันดวง สังกัด กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 16 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 ก.ค. จากการปะทะที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี กองทัพบกขอสดุดีแด่กำลังพลผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ และจะดูแลสิทธิและสวัสดิการแก่ครอบครัวและทายาทของทหารกล้าเหล่านี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแห่งความเสียสละของท่านเหล่านี้ ทั้งนี้ นับจากวันที่ 24 ก.ค.ถึงวันที่ 29 ก.ค. มีกำลังพลเสียชีวิตรวม 15 นายเผยเจรจาบิ๊กทหารก่อนคุยหยุดยิง อีกด้าน ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ให้สัมภาษณ์ถึงไทย-กัมพูชา ได้ข้อสรุปหยุดยิงว่า ขอให้เชื่อมั่นในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตทหารและเคยมีประสบการณ์วางแผนการรบ ต้องมองให้ครอบคลุม เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก่อนที่จะไปเจรจาได้หารือกับ ผบ.เหล่าทัพว่า เวลาที่รับได้คือเท่าไหร่ ได้ข้อสรุปเป็นเวลา 18.00 น.แต่กัมพูชาขอเป็นเที่ยงคืน จึงได้หารือกับ ผบ.เหล่าทัพอีกครั้ง พอจะรับเงื่อนไขได้ เพียงแต่ห่วงใยเพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน ทุกคนบอกหนักใจ เนื่องจากกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังมามาก อยากให้ประชาชนเข้าใจ ตนทำทุกอย่างร่วมกับกองทัพ ไม่ได้ทำคนเดียว ยืนยันก่อนเจรจาหยุดยิงมีเงื่อนไข เป็นที่มา 7 ข้อที่กระทรวงการต่างประเทศแถลงและในที่ประชุมก็ยอมรับ โดยมีมาเลเซีย สหรัฐอเมริกาและจีนเป็นพยาน ขอให้ทุกคนสบายใจได้ว่าการหยุดยิง ไม่ใช่ว่าสั่งหยุดเมื่อคืนนี้แล้วทั้ง 2 ฝ่าย จะมาเล่นตะกร้อ นั่งกินข้าวด้วยกัน ยืนยันต้องมีการคุยกันต่อไป ใน 7 ข้อนั้น อาจจะจบเดือนหน้าหรือไม่ยังไม่รู้ชะลอการสูญเสียแต่ต้องมีเงื่อนไขพล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า การหยุดยิง ทำให้ลดความสูญเสียของประชาชน เพราะปัจจุบันประชาชนเสียชีวิต 14 ราย บาดเจ็บ 48 ราย ทหารเสียชีวิต 15 ราย บาดเจ็บ 160 ราย ใน 160 มีพิการขาขาด 4 ราย ซึ่งเป็นกำลังหลักครอบครัว กระทรวงการต่างประเทศ ประณามการโจมตีพลเรือนจากฝ่ายกัมพูชา โรงเรียน โรงพยาบาล และยังใช้ประชาชนของตัวเองเป็นโล่มนุษย์ นำอาวุธหนักไปตั้งในหมู่บ้านเพื่อโจมตีไทย ผิดหลักอนุสัญญาเจนีวา ผิดอนุสัญญาออตตาวา หากตนสั่งว่าไม่หยุดยิง ให้เดินหน้าต่อไป จะมีลูกน้องของตนและประชาชนได้รับบาดเจ็บในห้วงนี้เราจะเร่งรัดไม่ได้ ถือเป็นเรื่องเจ็บปวด อยากให้นึกถึงครอบครัวของเขา การหยุดยิงชะลอการสูญเสียไปได้ แต่หลังจากนั้นต้องมีเงื่อนไขกันต่อไป การที่ร่วมยอมรับกับข้อตกลงเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ทำภายใต้นโยบายของรัฐบาล การต่างประเทศ และเศรษฐกิจ แต่ในสัปดาห์หน้าสถานการณ์อาจเป็นอีกแบบ ขออย่ากังวล ยืนยันว่ารัฐบาลและกองทัพคำนึงถึงอธิปไตยชาติยันเจรจาหยุดยิงไม่มีเงื่อนไขภาษีทรัมป์เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าเป็นห่วงลูกน้อง ประชาชน แต่เหตุใดการเจรจาจึงไม่ยื่นข้อเสนอให้ปรับกำลังทหารและอาวุธหนักออกไป เพราะปัจจุบันอาวุธยังประจำอยู่ในพื้นที่และยังสร้างความเสียหายให้ประชาชนเหมือนเดิม พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ในเวทีอย่างนั้นจะมานั่งคุยเงื่อนไขเช่นนี้ได้อย่างไร ส่วนนี้ให้แม่ทัพเป็นผู้ไปคุย เมื่อถามว่าก่อนหน้าปะทะ รัฐบาลให้กองทัพคุยแต่ก็ไม่จบ รอบนี้ให้กองทัพไปคุยอีก จะจบหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า “หากไม่จบก็ไม่จบและอาจจะยิงกันใหม่ได้” เมื่อถามว่า การเจรจาให้หยุดยิงเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีทรัมป์หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่าไม่ เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นทหาร มีความมั่นใจกัมพูชาหรือไม่ เพราะยังมีการสู้รบ และเคลื่อนไหวอยู่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่าไม่ได้เชื่อ ต้องมีสิ่งพิสูจน์ เพราะเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ก็พูดกันต้องพูดกันตรงๆ เพราะเราอยากได้ความเชื่อมั่น และความไว้วางใจทบ.ย้ำผลหารือลดตึงเครียด 7 ข้อเวลา 12.46 น. ทีมโฆษกกองทัพไทยออกเอกสารข่าวเปิดผลการหารือระหว่าง พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย กับ พล.อ.โปว เฮง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชา ที่มีขึ้นเมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 ก.ค. ได้ข้อสรุปสำคัญเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนที่ตึงเครียด มีประเด็นหลักที่ตกลงร่วมกัน 7 ข้อ ดังนี้ 1.หยุดยิงเด็ดขาด : ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะหยุดยิงในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เพื่อยุติการปะทะและลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับทั้งกำลังพลและประชาชน 2.คุ้มครองประชาชน : มีการเน้นย้ำถึงมาตรการคุ้มครองพลเรือน โดยจะไม่มีการยิงโจมตีหรือดำเนินการใดๆที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ชายแดน 3.งดการเสริมกำลัง : ห้ามมิให้มีการนำกำลังทหารหรือยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมเข้าไปในพื้นที่พิพาท เพื่อป้องกันการยกระดับความรุนแรงของสถานการณ์ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง–รอผลประชุม GBC4.ห้ามเคลื่อนย้ายกำลัง : ตกลงว่าจะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลภายในพื้นที่ชายแดนที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเพิ่มความตึงเครียด ซึ่งจะช่วยรักษาสภาพพื้นที่ให้คงที่ 5.อำนวยความสะดวกการส่งกลับ : ทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่ ในการส่งกลับผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะ เป็นการแสดงออกถึงมนุษยธรรมและบรรเทาความเดือดร้อน 6.จัดตั้งชุดประสานงานเฉพาะกิจ : เพื่อให้การแก้ไขปัญหาในพื้นที่เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จึงมีการจัดตั้งคณะทำงานประสานงาน ประกอบด้วยตัวแทนฝ่ายละ 4 คน ทำหน้าที่ในการสื่อสารและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า 7.รอผลการประชุม GBC (General Border Committee) : ข้อตกลงทั้งหมดที่ได้จากการหารือระดับแม่ทัพนี้จะถูกนำเสนอและพิจารณาอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ซึ่งเป็นการประชุมระดับสูงระหว่างไทยกับกัมพูชา ที่กำหนดไว้ในวันที่ 4 ส.ค. เพื่อให้ข้อตกลงดังกล่าวได้รับการรับรองและมีผลบังคับใช้ในระดับนโยบายของทั้งสองประเทศต่อไป“ภูมิธรรม” อ่านแถลงการณ์ รบ.ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ช่วงบ่าย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี อ่านแถลงการณ์รัฐบาล ถึงความคืบหน้าการดำเนินการของรัฐบาล ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในวันที่ 29 ก.ค. มีนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ นั่งร่วมแถลงด้วย เนื้อหาแถลงการณ์สรุปว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจ ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะยุติสถานการณ์ จนมีข้อตกลงหยุดยิงของทั้งสองฝ่าย โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนและยึดถืออำนาจอธิปไตยของประเทศเป็นสำคัญ ทั้งหมดนี้เป็นความหวังร่วมกันของประชาคมโลกที่จะคืนสันติภาพแก่ประชาชนทั้ง 2 ประเทศซัดกัมพูชาไม่ซื่อตรงละเมิดข้อตกลงรักษาการนายกฯกล่าวต่อว่ารัฐบาลไทยเคารพต่อผลการหารือที่ประเทศมาเลเซียและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อหยุดยิงตามที่ได้แถลงร่วมกัน แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ากองกำลังกัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ใช้อาวุธยิงต่อกำลังฝ่ายไทยในพื้นที่ทำให้ทหารไทยต้องตอบโต้อย่างเด็ดขาดและเหมาะสม เพื่อปกป้องอธิปไตยและชีวิตประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งรัฐบาลได้ประท้วงไปยังประธานอาเซียน สหรัฐอเมริกาและสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นสักขีพยานในการเจรจา เพื่อให้ได้รับทราบว่าการละเมิดข้อตกลงนี้เป็นเหตุจากการไม่ซื่อตรงและไม่จริงใจของกัมพูชาอย่างชัดเจน“มาริษ” แจง กต.ร่อนหนังสือประท้วงแล้วขณะที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ ให้สัมภาษณ์ ถึงการทำหนังสือประท้วงกรณีกัมพูชา ยังคงมีการยิงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งที่มีข้อสรุปให้หยุดยิงอย่างไม่มีเงื่อนไข ว่า ได้มีหนังสือประท้วงออกมาแล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ส่งหนังสือประท้วงไปที่ไหนบ้าง นายมาริษกล่าวว่า ส่งไปที่นายกฯมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน และส่งให้กับสหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ในฐานะผู้สังเกตการณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว รวมถึงได้ส่งสำเนาการประท้วงไปถึงเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรประเทศไทย ประจำสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก และกรุงเจนีวา เพื่อชี้แจงให้มิตรประเทศได้เข้าใจ และสำนักนายกรัฐมนตรีของไทยได้ติดต่อกับสำนักนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เพื่อพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่นายปราโบโว ซูบียันโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่อยู่กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย เมื่อถามการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชา นายมาริษตอบว่า ไม่มีผลต่อสายตานานาชาติที่มองไทย มั่นใจการบิดเบือนของกัมพูชาไม่มีทางเอาชนะไทยได้นานาชาติรับรู้กัมพูชาละเมิดข้อตกลงเมื่อถามว่า ข้อตกลงเจรจาหยุดยิง จะทำให้เสมือนประเทศไทยยอมกัมพูชาหรือไม่ นายมาริษตอบว่า บนเวทีโลกประเทศไทยได้รับการยอมรับมาก หลังจากเดินทางกลับจากการเจรจาที่มาเลเซีย ได้รับการติดต่อจากเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เนื่องจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ต้องการพูดคุยกับนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อชื่นชมการดำเนินการของไทยที่ควรเป็นแบบอย่างที่นานาประเทศต้องตระหนักบทบาท รวมถึงประชาชนไทยควรชื่นชมสิ่งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการในการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีและจริงใจ รวมถึงนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ได้ส่งข้อความมาชื่นชมรัฐบาลไทยต่อการตัดสินใจดำเนินการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ยังได้หารือทวิภาคีกับ รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ช่วงบ่ายวันที่ 29 ก.ค.ในโอกาสเยือน ประเทศไทย ได้ใช้โอกาสนี้ชี้แจงข้อเท็จจริงให้เวียดนามรับทราบด้วย เมื่อถามการบิดเบือนข้อมูลของกัมพูชา นายมาริษตอบว่า ไม่มีผลต่อสายตานานาชาติที่มองไทย มั่นใจการบิดเบือนของกัมพูชาไม่มีทางเอาชนะไทยได้ทัพภาค 2 สรุป 7 เหตุการณ์กัมพูชาคุกคามบ่ายวันเดียวกัน ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 สรุปสถานการณ์การสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 29 ก.ค. ณ เวลา 14.00 น. ว่า หลังเวลา 00.00 น. (29 ก.ค.) ปรากฏการคุกคามของกำลังประเทศกัมพูชาใน 7 เหตุการณ์ ดังนี้ 1.พื้นที่ช่องบก เกิดการปะทะด้วยปืนเล็กที่เนินโนเนม ทางทิศตะวันตกช่องบก 2.พื้นที่ช่องอานม้า เวลา 05.00 น. เกิดการปะทะด้วยอาวุธยิงสนับสนุน สิ้นสุดในเวลา 09.00 น. ทั้ง 2 ฝ่ายจัดตั้งชุดประสานงานบริเวณทิศใต้ช่องอานม้า 3.พื้นที่ซำแต เกิดการปะทะ ฝ่ายเราสามารถควบคุมพื้นที่เอาไว้ได้ 4.พื้นที่ช่องตาเฒ่า ตรวจพบการนำยานพาหนะพร้อมกำลังพลเคลื่อนย้ายเข้ามาในพื้นที่ ปัจจุบันกำลังดังกล่าว วางกำลังอยู่บริเวณปากช่องตาเฒ่า ใช้โดรนบินเหนือที่ตั้งทหาร–สนามบิน5.พื้นที่ภูมะเขือ ฝ่ายกัมพูชายังคงลาดตระเวนโดยรอบภูมะเขือและใช้อาวุธวิถีโค้งโจมตีต่อฝ่ายเรา ช่วงเวลา 01.00 น. 6.พื้นที่ปราสาทตาควาย และปราสาทตาเมือน ทั้งสองฝ่ายยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่ 7.ตรวจพบอากาศยานไร้คนขับไม่ทราบฝ่ายบินอยู่เหนือที่ตั้งทางทหารและสนามบินตามแนวชายแดนหลายแห่ง ปัจจุบันอยู่ระหว่าง ตรวจสอบว่าผู้ใดเป็นเจ้าของอากาศยานไร้คนขับดังกล่าว นอกจากนี้ได้อพยพประชาชนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยใน 4 จังหวัด คือ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ไปยังพื้นที่รวบรวมพลเรือนแล้ว จำนวน 137,998 คนกุฏิวัดก็ไม่รอด กระสุนปืนใหญ่ถล่มยับศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 รายงานอีกว่า ผลกระทบต่อประชาชนพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย มีดังนี้ บ้าน (บ.) สกอร์ หมู่ 12 ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ กระสุนปืนใหญ่ตก 4 ลูก บ.ไทยนิยม หมู่ 17 ต.บักได อ.พนมดงรัก กระสุนปืนใหญ่ตก 4 ลูก กุฏิวัดได้รับความเสียหาย บ.หนองตาเลิบ หมู่ 14 ต.บักได อ.พนมดงรัก กระสุนปืนใหญ่ตก 10 ลูก บ.หนองจูบ หมู่ 2 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก กระสุนปืนใหญ่ตก 3 ลูก บ้านเรือนเสียหาย 3 หลัง บ.ภูมิซรอลใหม่ หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กระสุน BM-21 ตก 4 นัด บ.ภูมิซรอล หมู่ 2 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กระสุน BM-21 ตก 4 นัด และ บ.เสาธงชัย หมู่ 1 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ กระสุน BM-21 ตกบ้านเรือนเสียหาย ทุกพื้นที่ไม่มีประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต เรื่องอื่นๆขอให้ประชาชนที่อพยพไปยังศูนย์พักพิง บ้านญาติพี่น้องนอกพื้นที่เสี่ยงภัย ได้พักอาศัยอยู่ ณ ศูนย์พักพิง หรือบ้านญาติตนเอง รอการประเมินสถานการณ์ ตามแนวชายแดนกับหน่วยงานความมั่นคงอีกครั้งเปิดยอดผู้อพยพ 1.88 แสนคนใน 7 จว.นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงจำนวนประชาชนผู้อพยพจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงปัจจุบันรวม 188,734 คน ใน 770 ศูนย์พักพิง ได้แก่ ศรีสะเกษ 82,021 คน (435 ศูนย์) สุรินทร์ 55,898 คน (130 ศูนย์) บุรีรัมย์ 24,480 คน (112 ศูนย์) อุบลราชธานี 21,838 คน (68 ศูนย์) สระแก้ว 2,652 คน (13 ศูนย์) ตราด 1,621 คน (8 ศูนย์) และจันทบุรี 224 คน (4 ศูนย์) และได้รับมอบหมายจากนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สั่งการไปยัง ผวจ.ทั้ง 7 จังหวัด เน้นย้ำนายอำเภอสร้างการรับรู้ความเข้าใจกับประชาชน ให้ได้พักอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงไปก่อน จนกว่าจะได้รับยืนยันด้านความปลอดภัยจากทางราชการ พร้อมทั้งดูแลในเรื่องการดำรงชีวิตในศูนย์พักพิง ประสานจังหวัดต่างๆ ขณะนี้ได้เปิดศูนย์รับบริจาคสิ่งของ ขอรับการสนับสนุนให้ครบถ้วนเพียงพอ หากได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคงว่า สามารถกลับภูมิลำเนาได้แล้ว รัฐบาลจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการพาประชาชนกลับภูมิลำเนาต่อไปออกหนังสือด่วนเตือน ปชช. 7 จว. ขณะที่นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านความมั่นคงภายใน ในฐานะ ผอ.ศบ.ทก. มท.ลงนามโทรสารสั่งการผู้ว่าฯ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชะลอการเดินทางกลับภูมิลำเนาของประชาชนในศูนย์พักพิง ก่อนได้รับการยืนยันจากฝ่ายความมั่นคง ยึดหลักปฏิบัติ “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” ขั้นสูงสุด ตามนโยบายของรองนายกฯและ รมว.หาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีนย.ไทย พบรอง ผบ.ทบ.กัมพูชาที่ตราดนอกจากนี้ช่วงบ่ายของวันที่ 29 ก.ค. พลโทเอก สัมอวน รอง ผบ.ทบ.แห่งกองทัพภูมินทร์ และ ผบ.ทหารภูมิภาคที่ 5 ได้พบหารือกับพล ร.ท.อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ ผบ.หน่วยป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราดของไทย ที่สะพานเขตซอว์ ด่านชายแดนพรหม เพื่อยืนยันสถานการณ์ความสงบตามแนวนโยบายหยุดยิงที่รัฐบาลทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกัน พร้อมทั้งมีการจับมือกัน บรรยากาศเต็มไปด้วยสัญญาณแห่งมิตรภาพ การพบปะครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ในระดับพื้นที่ โดยข้อตกลง 4 ข้อ ดังนี้2 ฝ่ายจะไม่เคลื่อนย้ายกำลัง–อาวุธ1.ทั้งสองฝ่ายได้หยุดยิงตั้งแต่เที่ยงคืน ตามข้อตกลงระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชา 2.จะไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังและอาวุธจากที่ปัจจุบัน 3.หลังจากมีการประชุม GBC จะจัดให้มีการประชุม RBC ที่จังหวัดไพลิน กัมพูชา โดย ผวจ.ไพลิน เตรียมการเรื่องของสถานที่ไว้รองรับแล้วเรียบร้อย 4.จะมีการพูดคุยกันและพัฒนาความสัมพันธ์เหมือนเดิมเนื่องจากกปช.จต. และ ภท.5 มีความสัมพันธ์ตลอดมา ลดความตึงเครียดและสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจจับมือกระชับสัมพันธ์–หยุดยิงลดขัดแย้งจากนั้นทั้ง 2 ฝ่ายได้จับมือ บริเวณสะพานพรมแดน พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการรักษาความร่วมมืออย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ เรื่องการยุติการเสริมทัพ หยุดกระทำการใดใดที่เป็นการสุ่มเสี่ยง นอกจากการพบปะโดยตรงแล้ว ช่วงเช้าวันเดียวกัน ยังมีการพูดคุยผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ระหว่าง พลตรี ฮุย เอียง ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 3 กัมพูชา กับ ผบ.กปช.จต. สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองฝ่ายในการสร้างช่องทางการสื่อสารอย่างทันท่วงทีในสถานการณ์สำคัญ โดยการยืนยันหยุดยิงในครั้งนี้ไม่เพียงลดความขัดแย้งด้านความมั่นคง แต่ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจการค้าชายแดนระหว่าง จ.จันทบุรี กับ จ.ไพลิน ทั้งในด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน การค้าขาย การท่องเที่ยว โดยเฉพาะ อ.โป่งน้ำร้อน ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนที่สำคัญนัดหารือ 2 ฝ่ายอีกครั้ง 4 ส.ค.ทั้งนี้ ผู้นำทหารทั้งสองประเทศยังได้แสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน สร้างสันติภาพที่มั่นคง ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนชายแดน ถือเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันภูมิภาคนี้ไปสู่อนาคตที่สดใสและมั่นคงยิ่งขึ้น โดยไทยกับกัมพูชาจะนัดหารือกันต่อไปในวันที่ 4 ส.ค.ควบคุมทหารกัมพูชาสมรภูมิซำแต 18 นายเย็นวันเดียวกัน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพภาคที่ 2 รายงานผลการควบคุมตัวทหารกัมพูชาจำนวน 18 นาย สืบเนื่องจากเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ซำแต อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ฝ่ายกัมพูชา ได้ใช้อาวุธหนักและอาวุธวิถีโค้งยิงเข้ามาในเขตพื้นที่ของไทย ฝ่ายไทยจึงใช้หน่วยทหารม้าเฉพาะกิจเข้าตอบโต้ กวาดล้างที่มั่นฝ่ายกัมพูชา จากการปฏิบัติดังกล่าว พบทหารกัมพูชาจำนวนหนึ่งยอมจำนนโดยไม่มีท่าทีหรือลักษณะจะคุกคามฝ่ายไทย ทางหน่วยจึงดำเนินการปลดอาวุธและควบคุมตัวตามขั้นตอน โดยยึดถือหลักมนุษยธรรมสากลอย่างเคร่งครัด พร้อมจัดหาเสื้อผ้า อาหารและน้ำดื่มให้ทาน สำหรับทหารกัมพูชาดังกล่าว มียศร้อยตรี 1 นาย จ่าสิบโท 2 นาย สิบเอก 12 นาย สิบโท 2 นาย สิบตรี 1 นาย ในจำนวนนี้ มีผู้บาดเจ็บ 1 นาย คือ ส.อ.มอม ริดที ถูกกระสุนบริเวณสะโพกข้างขวาและแขนซ้าย ฝ่ายไทยส่งเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตในพื้นที่จำนวน 2 นายส่งคืนร่างทหารกัมพูชาที่เสียชีวิตพล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า ขณะนี้ทหารกัมพูชาทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุม ณ พื้นที่ปลอดภัยของกองทัพภาคที่ 2 ได้จัดเตรียมการดูแลขั้นพื้นฐานไว้ให้ ทั้งเสื้อผ้า อาหาร น้ำดื่ม การรักษาพยาบาล ตามความจำเป็น ดูแลให้เป็นไปตามแบบปฏิบัติในทางทหารของสากลและยึดหลักมนุษยธรรมสากล จากนั้นจะดำเนินการตามกระบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป ในส่วนของผู้เสียชีวิต 2 ราย ฝ่ายไทยจะดำเนินการส่งคืนร่างตามหลักปฏิบัติสากลในการปฏิบัติต่อศพ ในภาวะสงครามอย่างสมเกียรติต่อไป กองทัพบกยังคงยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และพันธกรณีที่ไทยถือปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาเจนีวาที่พึงกระทำต่อทหารและศพของฝ่ายตรงข้ามอย่างเคร่งครัดทหารไทยล้อมรั้วปราสาทตาเมือนธมผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก ศบ.ทก.ออกมาแถลงภายหลังทั้งไทยและกัมพูชาหยุดยิงว่า ทหารไทยยึดได้ 11 พื้นที่สำคัญสำเร็จ ได้แก่ ภูมะเขือ ช่องอานม้า ปราสาทตาเมืองธม ปราสาทตาควาย แนวเขตแดนช่องบก ปราสาทโดนตวล สัตตะโสม ช่องจอม ช่องสายตะกู พระวิหาร และพลาญยาว นั้น ล่าสุด แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงได้เปิดภาพทหารไทยดำเนินการล้อมรั้วลวดหนามบนปราสาทตาเมือนธม พร้อมปิดทางขึ้นฝั่งกัมพูชา หลังทหารไทยยึดได้เบ็ดเสร็จพ่อแม่ช็อกคาศูนย์ฯลูกทหารกล้าดับที่ จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายกิมแดง กระจ่างทอง อายุ 60 ปี และนางติน กระจ่างทอง อายุ 61 ปี สองสามีภรรยาชาว อ.ละหานทราย ที่อพยพจากบ้านหนีภัยการสู้รบมาอยู่ที่ศูนย์พักพิงวัดตาไก้พลวง ต.ตาไก้ อ.นางรอง มีนายโชคชัย สว่างรัตน์ นอภ.นางรอง มาแจ้งว่า พลทหารธีรยุทธ กระจ่างทอง อายุ 22 ปี ลูกชายนักรบกล้าที่ไปสู้รบแนวชายแดนด้าน จ.ศรีสะเกษ เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่เมื่อคืนวันที่ 28 ก.ค. ทำให้นายกิมแดงและนางตินร่ำไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ชาวบ้านในศูนย์ต่างช่วยกันปลอบและนำด้ายมาผูกแขนเป็นการเรียกขวัญตามประเพณี ขณะที่ น.ส.หอมจันทร์ กระจ่างทอง พี่สาวพลทหารธีรยุทธเล่าว่า น้องชายติดต่อมาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 ก.ค. และตอบแชตไลน์มาว่าไม่ต้องเป็นห่วง ปลอดภัยดี จนเวลา 09.00 น. มีคนโทรศัพท์มาหาบอกว่าเป็น ผบ.ร้อยประจำหน่วย แจ้งว่า “น้องได้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดแล้ว” ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวด้วย จึงสรุปด้วยตัวเองว่าน้องเสียชีวิตแล้ว ส่วนศพจะมาถึงบุรีรัมย์วันที่ 30 ก.ค. ตั้งศพไว้ที่วัดยางโป่งสะเดา ต.ตาจง อ.ละหาน ทราย มีพิธีพระราชทานเพลิงศพวันที่ 2 ส.ค.พระราชทานเพลิง “จ่าโต๋” วีรบุรุษสัตตะโสมที่วัดเจริญธรรมาราม ต.บ้านซ่ง อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร เมื่อบ่ายวันที่ 29 ก.ค. พล.ต.ฉัฐชัย มีชั้นช่วง ผบ.มณฑลทหารบกที่ 210 เป็นประธานพิธีพระราชทานเพลิงศพ จ.ส.อ.ธวัชชัย บุสภา หรือจ่าโต๋ ทหารสังกัดกองพันทหารปืนใหญ่ที่ 106 กรมทหารปืนใหญ่ที่ 6 ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกับฝ่ายกัมพูชา ที่บริเวณฐานปฏิบัติการฟ้าลั่น (เขาสัตตะโสม) อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าส่วนราชการต่างๆในจังหวัดมุกดาหาร รวมทั้งนายเฉลิมชัย บุสภา บิดาของผู้เสียชีวิต นางวิไล บุสภา มารดา นางสาว รจรินทร์ สิงห์ศร ภรรยาของผู้วายชนม์ อาสาสมัครทหารพราน ทรงวุฒิ บุสภา น้องชาย ตลอดจนครอบครัวและคณะญาติ รวมทั้งประชาชนในพื้นที่ จ.มุกดาหาร เข้าร่วมพิธีอย่างล้นหลามพระราชทานน้ำอาบศพทหารกล้าส่วนที่วัดบูรพาราม บ้านคูเมืองตก หมู่ 4 ต.คูเมือง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี เมื่อเย็นวันที่ 29 ก.ค. ทหารกองเกียรติยศนำร่าง ส.อ.อัมรินทร์ ผาสุก อายุ 28 ปี ทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 23 ที่เสียชีวิตในการปะทะกับทหารกัมพูชาที่ปราสาทตาเมือน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 28 ก.ค. จาก รพ.ค่ายวีรวัฒน์โยธิน อ.เมืองสุรินทร์ มาประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ มี ว่าที่ พ.ต.อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผวจ.อุบลราชธานี เป็นประธาน พร้อมวางพวงมาลาพระราชทาน ส่วนพิธีพระราชทานเพลิงศพมีขึ้นวันเสาร์ที่ 2 ส.ค. นางอรชร ผาสุก อายุ 53 ปี แม่ของ ส.อ.อัมรินทร์เล่าว่า ลูกชายตั้งใจอยากเป็นทหารตั้งแต่เด็ก เมื่อเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทยกับกัมพูชา ลูกชาย โทรศัพท์มาบอกว่า ต้องไปทำหน้าที่รั้วของชาติ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่นานก็จะกลับไปหาแม่และยาย ได้อวยพรให้ลูกปลอดภัย นึกไม่ถึงว่าจะเสียชีวิต รู้สึกเสียใจ แต่ก็ภูมิใจที่ลูกรับใช้ชาติสมกับที่เป็นลูกผู้ชายและเป็นชายชาติทหารอย่างแท้จริงในหลวง—ราชินี พระราชทานของเยี่ยมทหารกล้าวันเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงห่วงใยกำลังพลและราษฎรที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย—กัมพูชา จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่พลทหาร กิตติพงษ์ ดามะนาว ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย—กัมพูชา เมื่อวันที่ 27 ก.ค.และเข้ารักษาพยาบาล ณ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายสุรศักดิ์ อักษรกุล ผวจ.หนองบัวลำภู เชิญตะกร้าสิ่งของพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ไปมอบแก่ญาติของสิบโท ศราวุฒิ นามสวัสดิ์ กำลังพลที่เสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย—กัมพูชา ยังความปลื้มปีติและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแก่ครอบครัวของสิบโท ศราวุฒิ อย่างหาที่สุดมิได้จีนแถลงหนุนคลี่คลายไทย—กัมพูชาวันเดียวกัน นายกัว เจียคุณ โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน แถลงว่า จีนจะสื่อสารอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งกัมพูชาและไทย จีนยังพร้อมที่จะสนับสนุนความพยายามในการคลี่คลายความตึงเครียด สร้างความไว้วางใจ และบรรลุความปรองดอง ในฐานะมิตรและเพื่อนบ้านใกล้ชิดของทั้ง 2 ฝ่าย นายกัวยังกล่าวชื่นชมความพยายามช่วยไกล่เกลี่ยโดยเฉพาะอย่างยิ่งของมาเลเซีย ประธานหมุนเวียนอาเซียนประจำปีนี้ จนนำไปสู่การประชุมระหว่างผู้นำกัมพูชาและไทยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. ถือเป็นก้าวสำคัญในการลดระดับสถานการณ์ จีนรู้สึกซาบซึ้งและยินดีกับผลลัพธ์นี้ ขณะที่ยังย้ำถึงการสนับสนุนของจีนต่อมาเลเซียในการดำเนินบทบาทประธานอาเซียนต่อไป เพื่อผลักดันความพยายามในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองให้สอดคล้องกับหลักการของอาเซียน“ทรัมป์” ยอตัวเองเป็น ปธน.สันติภาพขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความในช่วงกลางดึกวันที่ 28 ก.ค. ระบุว่า เพิ่งวางสายกับรักษาการนายกรัฐมนตรีไทย และนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลให้ทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงหยุดยิงและสร้างสันติภาพ ขอแสดงความยินดีกับทุกคน การยุติสงครามที่เกิดขึ้นย่อมรักษาชีวิตได้หลายพันคน ผมได้ออกคำสั่งไปยังทีมเจรจาการค้าแล้วว่า ให้กลับมาเจรจาใหม่ได้เหมือนเดิม อยากบอกว่าในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ผมจบสงครามไปเยอะมาก ภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่