รองโฆษก ตร.แฉ 5 พฤติกรรม สายลับกัมพูชาหลังตำรวจตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา จับกุมพร้อมอุปกรณ์ส่งข้อมูลและอุปกรณ์สื่อสารหลายราย วอนคนไทยช่วยสอดส่องพร้อมแจ้งเบาะแสให้ตำรวจทราบเพื่อเข้าตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที ก่อนสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติ ยันข้อหาสายลับมีโทษแรง สูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต ล่าสุด ชรบ.จ.สุรินทร์ ควบคุมตัวชายต้องสงสัยพิรุธเพียบ มีบัตรประชาชนไทยแต่ลบเลข 13 หลักบางส่วน พูดไทยไม่ชัด ขับรถเข้าไปในพื้นที่ปะทะใกล้ตาเมือนธม นำส่งตำรวจและฝ่ายความมั่นคงเค้นสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งภายหลังกองทัพไทยเปิดศึกรบกับกองกำลังทหารกัมพูชาอย่างดุเดือดมาหลายวัน ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายพื้นที่ตามแนวตะเข็บชายแดนประเทศไทย-กัมพูชา ตรวจสอบพบและสามารถควบคุมตัวชาวกัมพูชาต้องสงสัย ตระเวนไปตามพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังมีการรบพุ่งกันอยู่ พร้อมถ่ายรูป ส่งข้อมูล และพิกัดการวางกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ของประเทศไทย กลับไปให้กองทัพกัมพูชา เพื่อวางแผนการโจมตี สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติเป็นอย่างมากความคืบหน้าจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ก.ค. พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษก ตร.ออกมาแฉพฤติกรรมสายลับคอยชี้เป้าทหารไทยมีโทษหนักว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะนี้อาจมีกลุ่มบุคคลไม่หวังดีลักลอบส่งข้อมูลด้านความมั่นคงและการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ไทยให้แก่ฝ่ายกัมพูชา อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ประชาชน และความมั่นคงของชาติ“สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือประชาชนให้สังเกตลักษณะการกระทำที่อาจเข้าข่ายเป็นการสายลับดังนี้ 1.การเก็บข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์ ลอบถ่ายภาพหรือวิดีโอที่ตั้งหน่วยทหาร จุดยุทธศาสตร์ เส้นทางลำเลียงเสบียงหรืออาวุธ 2.การติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ สอดส่องการเคลื่อนย้ายกำลังพล หรือการจัดวางยุทโธปกรณ์ของหน่วยงานความมั่นคง 3.การกระทำที่ผิดปกติ เช่น ถ่ายภาพในพื้นที่บ่อยครั้ง เข้าใกล้พื้นที่ปฏิบัติการโดยไม่มีเหตุผล หรือเดินสำรวจพื้นที่โดยไม่มีจุดหมาย 4.การเข้าออกพื้นที่หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ปรากฏตัวในพื้นที่ที่มีคำสั่งอพยพ หรือในเวลาที่ผิดปกติ เช่น เวลากลางคืน 5.การครอบครองอุปกรณ์ต้องสงสัย เช่น กล้องส่องทางไกล แผนที่ยุทธศาสตร์ แผนผังพื้นที่ หรืออุปกรณ์ระบุตำแหน่งจีพีเอส” รองโฆษก ตร.กล่าวรอง โฆษก ตร.กล่าวด้วยว่า การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญาหมวด 3 “ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร” อาจต้องระวางโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต หากประชาชนพบเห็นพฤติการณ์ต้องสงสัย หรือบุคคลที่มีลักษณะเป็นสายลับ ลักลอบส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ หรือข้อมูลสำคัญของประเทศไปยังฝ่ายกัมพูชา ขอให้แจ้งเบาะแสดังกล่าวกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ หรือที่สายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ตลอด 24 ชั่วโมงที่ จ.สุรินทร์ เวลา 09.00 น. วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ชุด ชรบ.และฝ่ายปกครองพื้นที่ ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ควบคุมตัวชายต้องสงสัยขับรถยนต์โตโยต้า วีออส สีเทา หมายเลขทะเบียน 7040 สระแก้ว เข้ามาในพื้นที่ที่มีการปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชาอย่างมีพิรุธ สอบถามตอนแรกบอกว่ามากัน 3 คน ในรถมีเพียงคนเดียว ตรวจสอบบัตรประจำตัวประชาชนทราบชื่อ นายสิริกร พาพรม อายุ 50 ปี ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 313 หมู่ 1 ต.บ้านใหม่หนองไทร อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แต่ในบัตรประชาชนยังพบพิรุธว่ามีการแก้ไขตัวเลขวันเกิดนอกจากนี้ชายคนดังกล่าวยังอ้างว่ามาส่งพระเครื่องที่ปราสาทตาเมือนธม ตรวจสอบในรถไม่พบพระเครื่องตามที่กล่าวอ้าง นอกจากนั้นในโทรศัพท์ยังพบการตั้งพิกัดจีพีเอสเข้ามาภายในพื้นที่ตาเมือนธมอีกด้วย ชายคนดังกล่าวอ้างว่า ตั้งมาจาก อ.อรัญประเทศก่อนแล้วหลงทางเข้ามาในพื้นที่นี้ แถมยังพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัดด้วย เจ้าหน้าที่ชุด ชรบ.จึงประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พนมดงรัก เข้ามานำตัวไปสอบสวนร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เพื่อให้ทราบจุดประสงค์การเข้ามาในพื้นที่ปะทะว่า เป็นสายลับคอยแจ้งพิกัดให้ทหารฝั่งกัมพูชาหรือไม่ เนื่องจากช่วงนี้มีคนแปลกหน้าเข้าในพื้นที่จำนวนมากทั้งที่เป็นเขตอันตรายอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่