แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ทนแล้ว ประกาศยกระดับตอบโต้กัมพูชา สั่งปิด 4 ด่าน ช่องอานม้า ช่องสะงำ ช่องจอม ช่องสายตะกู และปิดปราสาทตาเมือนธม-ตาเมือนโต๊ด-ปราสาทตาควาย หลังกำลังพลเหยียบกับระเบิดที่ช่องอานม้า ขาขาดขณะลาดตระเวนอีกราย เรียกทูตไทยกลับด่วนขับทูตเขมรกลับ ปท. กองทัพบกประณามกัมพูชาเหตุลอบวางทุ่นระเบิดที่ชายแดนช่องอานม้า จนกำลังพลขาขาด “เสธ.เบิร์ด” โพสต์เฟซบุ๊กแฉชื่อ 2 ผู้พันเขมรเอี่ยววางกับระเบิด ท้าให้มาเดินเก็บกู้ พร้อมกัน เย้ยหาความรับผิดชอบคงไม่มี เพราะฮุน เซน คงให้ปฏิเสธไปตามนิสัย ยันเขมรรู้ดีว่าล้ำแดน จริงเพราะยอมกลบคูเลต กต.เตรียมงัดหลักฐานโชว์ทูตปมเขมรวางทุ่นระเบิด จ่อทำหนังสือประท้วงถึงประธานออตตาวาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะที่ปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ ยังเต็มไปด้วยความตึงเครียด หลังฝ่ายกัมพูชาพยายามก่อกวนด้วยวิธีการต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นการระดมคนมาป่วนเพื่อยั่วยุไทยและยังออกแถลงการณ์เท็จโดยไม่อายชาวโลกเรื่องทุ่นระเบิดอ้างว่าอยู่ในฝั่งไทยและเป็นของไทยฝังเอง ล่าสุดเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ช่องอานม้าบาดเจ็บขาขาด ส่งผลให้มีการสั่งปิดด่านชายแดนทันที 4 ด่าน กับปิด 3 ปราสาทในทันทีทหารเหยียบกับระเบิดขาขาดอีกรายทั้งนี้ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 23 ก.ค. พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า วันเดียวกันนี้ ขณะที่กำลังพลชุดลาดตระเวน พัน. ร.14 กำลังออกลาดตระเวนที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี จ.ส.อ.พิชิตชัย บุญโคราช ทหารในชุดลาดตระเวนดังกล่าว ได้เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บขาขวาขาดอีก 4 นายบาดเจ็บถูกนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลน้ำยืนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คาดว่าเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ มทภ.2 ตอบโต้ทันทีปิด 4 ด่าน 3 ปราสาท ต่อมา พล.ท.บุญสินแถลงว่า “ผมขอประกาศ กองทัพภาคที่ 2 ยกระดับการตอบโต้กัมพูชา ในวันที่ 24 ก.ค. ด้วยการปิด 4 ด่าน ได้แก่ ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ และช่องสายตะกู อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ พร้อมปิดปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาควาย”ศบ.ทก.เห็นชอบให้ ทภ.2 ปิดด่านต่อมามีรายงานข่าวจากศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ยอมรับว่า เรื่องทหารเหยียบกับระเบิดขาขาดที่ช่องอานม้าเป็นเรื่องจริง โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้ปรึกษามาที่ ศบ.ทก. เพื่อขออนุญาตปิดด่านในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ได้แก่ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวตามแนวชายแดน เป็นการประท้วงกัมพูชา จากการลักลอบวางทุ่นระเบิดที่เกิดขึ้น ซึ่ง ศบ.ทก. เห็นชอบ ขณะเดียวกันจะส่งหนังสือประท้วงโดยใช้กลไก RBC และรายงานกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อประท้วงต่อไปดังนั้นตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. จะปิดด่านชายแดนทั้งหมดในพื้นที่ 4 จังหวัดอีสานใต้ของไทย หลังจากฝั่งไทยมีการกำหนดเวลาเปิด-ปิด ในส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง 3 ปราสาทคือ ตาเมือนธม ตาเมือนโต๊ด และตาควาย ก็ปิดให้บริการเช่นกันงัดแผน “จักรพงษ์ภูวนาถ” เตรียมพร้อมต่อมาเวลา 16.55 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก แถลงว่า จากเหตุการณ์กำลังพลชุดลาดตระเวน กองพันทหารราบที่ 14 เหยียบกับทุ่นระเบิด บริเวณห้วยบอน ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้กำลังพลกองทัพบกได้รับบาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 5 นาย โดย 1 นาย ขาขวาได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาขาดจากการเหยียบกับระเบิด อีก 4 นายมีอาการแน่นหน้าอก หูอื้อ จากแรงสั่นสะเทือนของแรงระเบิด ปัจจุบันอยู่ระหว่างรับการรักษาอย่างเร่งด่วน ณ รพ.น้ำยืน ในวันที่ 24 ก.ค. ผบ.ทบ.จะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ ดูแลให้กำลังใจผู้บาดเจ็บ พร้อมได้สั่งการให้กำลังพลกองทัพภาคที่ 1 กองทัพภาคที่ 2 และกำลังส่วนต่างๆเตรียมพร้อมปฏิบัติตามแผน “จักรพงษ์ภูวนาถ” เมื่อสั่งทบ.ประณามกัมพูชาวางทุ่นระเบิดพล.ต.วินธัยแถลงอีกว่า กองทัพบกขอประณามอย่างรุนแรงต่อการกระทำอันไร้มนุษยธรรม ละเมิดต่อหลักมนุษยธรรมสากลและข้อตกลงระหว่างประเทศ อันเกิดขึ้นภายในเขตราชอาณาจักรไทย โดยเป็นการกระทำของฝ่ายกัมพูชา ขอเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการกระทำที่เป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อสันติภาพและเสถียรภาพบริเวณชายแดนระหว่างสองประเทศ กองทัพบกขอยืนยันว่าจะใช้ทุกกลไกที่มีอยู่ในการดำเนินการตามกรอบที่เหมาะสม เพื่อปกป้องความปลอดภัยของกำลังพลและประชาชนชาวไทย มิให้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีกต่อไปเรียกทูตไทยกลับ–ขับทูตเขมรกลับบ้านขณะที่นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกฯ กล่าวว่า ได้รับทราบข่าวจาก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม และกองทัพ รายงานเหตุการณ์ให้ทราบ กองทัพภาคที่ 2 และกองทัพบก ทำเรื่องขอเสนอให้ปิดด่านชายแดนของกองทัพภาคที่ 2 ทั้งหมด นักท่องเที่ยวห้ามเข้าเด็ดขาด รัฐบาลสั่งการให้ปิดด่านชายแดนตามที่กองทัพเสนอ พิจารณาแล้วว่าเราจะลดระดับทางการทูต โดยเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชากลับไทย แล้วส่งเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยคืนกลับไปเช่นกัน ทั้งจะพิจารณาระดับความสัมพันธ์ ทั้งนี้ สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศยื่นหนังสือประท้วงไปแล้วว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นระเบิดใหม่ พิสูจน์ทราบได้ว่าเมื่อก่อนเดินลาดตระเวนเราไม่เคยมี แต่ตอนนี้เป็นระเบิดที่เกิดใหม่ทั้งหมดในเวลาใกล้เคียงกัน ดังนั้นเรายกระดับการตอบโต้ที่เหมาะสมที่สุดแล้วยอมกลบคูเลตเพราะรู้ดีล้ำแดนไทยวันเดียวกัน พล.ต.วันชนะ สวัสดี ผอ.สำนักงานประสานภารกิจด้านความมั่นคงกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กรมยุทธการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย (ผอ.สน.ปร.มน.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุชื่อนายทหารกัมพูชา ที่อาจเกี่ยวข้อง กับเหตุการณ์วางทุ่นระเบิดว่า ที่ยืนยันชัดเจนว่าจุดที่ ระเบิดนั้นอยู่ในฝั่งไทย คือ 1.กัมพูชายอมกลบแนว คูเลตที่ตัวเองขุดขึ้นและยอมถอยออกจากพื้นที่แนวพญาสัตบรรณ 2.การวางระเบิดเพื่อป้องกันข้าศึกเข้ามา แนววางกำลังหลักการทางทหารต้องวางหน้าแนว วางกำลัง หรือหน้าแนวคูเลต ไม่มีใครวางหลังแนวตัวเองแน่ ตรงตามจุดโดนระเบิดคืออยู่หน้าแนวคูเลต เมื่อมองจากฝั่งกัมพูชา ขนาดคูเลตยังล้ำแดน ฉะนั้นหน้าแนวคูเลตยิ่งล้ำเข้ามาอีก ใครจะรับผิดชอบแฉชื่อ 2 ผู้พันเขมรเอี่ยววางกับระเบิดพล.ต.วันชนะกล่าวต่อว่า หน่วยในพื้นที่ที่เผชิญ หน้ากันอยู่ หรือหน่วยวางระเบิด ชื่อหน่วยและผู้นำในพื้นที่ก็รู้กันอยู่แล้ว ไปมาหาสู่กันมานานพูดได้ว่า รู้จักกัน หน่วยที่วางกำลังเผชิญหน้าอยู่คือ พัน สสน. 392 สน. มี พ.ต.ชุน โซะพอล เป็น ผบ.พัน ส่วนหน่วย ที่มาวางกับระเบิดคือ หน่วย ช. พล.สสน. 3 มี พ.ท. ลำ โซะเคน ผบ.พัน 2 หน่วยนี้มาเดินเก็บกู้พร้อมกัน ไหม? แต่ถามหาความรับผิดชอบคงไม่มี เพราะ ฮุน เซน คงให้ปฏิเสธไปตามนิสัยจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน อย่ารับผิด แต่ที่แน่นอนคือ อยู่ในดินแดนไทย เพราะเขมรยอมถอย เนื่องจากรู้ดีว่าล้ำแดนจริง จำนนต่อ หลักฐานแผนที่ 1 : 200,000 ที่ทำมาเป็นเพียงการ นำเสนอให้รู้ว่า แม้แผนที่หยาบมาก ก็ยังอยู่ในแผ่นดินไทยอนุโลมผ่านแดนเพราะมนุษยธรรมด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ที่ประชุม ศบ.ทก.ได้รับรายงานจากหน่วยงาน ความมั่นคงในพื้นที่ว่า ฝ่ายไทยยังดำเนินการมาตรการเดิม คือควบคุมจุดผ่านแดนที่เข้มงวด แต่ไม่ได้มีการปิดด่าน ตามที่ฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวหาในสื่อ เป็นการบริหารจุดผ่านแดนเพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนและ เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในช่วงนี้ เรื่องของ การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจังในการ ดำเนินการมาตรการนั้น ขอย้ำว่าฝ่ายไทยยังคงอนุโลม การผ่านแดนสำหรับเหตุผลด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่อง ในที่ประชุมได้เห็นภาพและสถิติว่า บางจุด มีการอนุโลมถึงหลักพันคน ทั้งนี้ ฝ่ายไทยยังคงเปิดสำหรับการขนส่งสินค้า มีเพียงฝ่ายกัมพูชาฝ่ายเดียวที่ยังคงปิดด่านอยู่งัดหลักฐานโชว์ทูต เขมรวางทุ่นระเบิดนางมาระตีกล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด วันนี้ (23 ก.ค.) กระทรวงการต่างประเทศจัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ต่อเนื่องจากวันที่ 22 ก.ค. ชี้แจงการดำเนินการ ท่าที จุดยืนไทยต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีผู้บริหารทั้งกระทรวงการ ต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคงร่วมกันบรรยายสรุป ได้แก่ ปลัดกระทรวงต่างประเทศ อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ และโฆษก ศบ.ทก.ฝ่ายความมั่นคง เป็นโอกาสสำคัญของไทยชี้แจงข้อมูลและข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมหลักฐานที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่รวบรวมและประมวลมาตั้งแต่วันเกิดเหตุกต.จ่อทำหนังสือประท้วงกัมพูชารองอธิบดีกรมสารนิเทศฯกล่าวอีกว่า ที่สำคัญที่สุดคือ ผลการตรวจสอบ ตรวจค้นในพื้นที่เพิ่มเติม เพื่อเดินหน้าต่อในการประท้วง การดำเนินการของฝ่ายไทยรัดกุมและตรวจสอบได้ หลังจากกระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือฉบับแรก ประท้วงกัมพูชาโดยตรง เพื่อประณามการกระทำที่ละเมิดอธิปไตยของไทยและเรียกร้องความรับผิดชอบ ส่วนฉบับที่ 2 จะเป็นหนังสือถึงญี่ปุ่น ในฐานะประธานที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อไทย ต่อประชาคมโลก ต่อประเทศและองค์กรที่สนับสนุนกัมพูชาในอดีตที่ผ่านมาในเรื่องของการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้พิจารณาในเรื่องนี้ด้วยผู้พิการสายตาให้กำลังใจทหารส่วนบรรยากาศที่ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ช่วงเช้าวันที่ 23 ก.ค. คณะผู้พิการทางสายตาจากสหภาพคนตาบอดในประเทศไทย จำนวน 53 คน ร่วมกับองค์กรเครือข่ายจัดกิจกรรมรวมพลังคนพิการ “หัวใจไทยสู่ชายแดน” ด้วยการเดินทางมาให้กำลังใจทหารที่ปราสาทตาเมือนธม พร้อมมอบของกินของใช้ให้กำลังใจ ทั้งนี้ คณะผู้พิการทางสายตาได้เข้าสวมกอดพูดคุยกับทหารและกล่าวให้กำลังใจทหารทั้งน้ำตา ขณะที่บรรดาทหารได้กล่าวขอบคุณและให้คำมั่นว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ซึ่งผู้พิการทางสายได้เดินเข้าไปในตัวปราสาทแม้ไม่สามารถมองเห็นแต่ได้ใช้มือสัมผัสก้อนหินที่ตัวปราสาท มีผู้ติดตามคอยประคองเดินนำทางและมีทหารคอยเป็นไกด์เล่าถึงข้อมูลประวัติความเป็นมาของปราสาท สร้างความประทับใจแก่คณะดังกล่าวอย่างมากอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่