ข่าวร้ายสะเทือน “วงการสงฆ์” ที่สร้างความสะเทือนใจให้กับพุทธศาสนิกชนและผู้คนในสังคมที่ได้เกิดขึ้นกับวงการสงฆ์เพียงหลังวันวิสาขบูชาผ่านพ้นไปเพียงวันเดียวในปีนี้ ได้มีพระเถระผู้ใหญ่ทรงสมณศักดิ์และเป็นผู้ปกครองสงฆ์ที่สูงมาก มีกรณีปัญหาทั้งทางโลกและทางธรรมพยานหลักฐานทั้งบุคคล...เอกสารต่างๆฟ้องชัด คือได้ประพฤติผิด “พระธรรม” และ “พระวินัย” มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับสตรีเพศหรือสีกาถึงขั้นอาบัติปาราชิกไปแล้ว...มีการใช้ “ปัจจัย” หรือ “เงิน” อาจจะส่อไปในทางที่ไม่สุจริต อาจจะไปเกี่ยวข้องกับการพนัน“หลายรูปต้องหนีหัวซุกหัวซุนรีบออกจากวัดไปลาสิกขาตามวัดต่างๆนอกพื้นที่หรือบางรูปก็ลาสิกขาที่วัดตนเองจำวัดอยู่ บางรูปก็หายไปจากสังคมไม่ปรากฏตัวแม้แต่ในวันที่อธิษฐานเข้าพรรษา ได้สร้างความเสียหายและความสับสนให้กับชาวพุทธอย่างมาก อย่างที่ไม่เคยมีปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อน”นี่คือจุด “เสื่อม” ของ “พระพุทธศาสนา” อย่างแท้จริง?พระครูจินดาสุตานุวัตร (พระมหาสมัย จินฺตโฆสโก) ประธานมูลนิธิกลุ่มแสงเทียน เจ้าอาวาสวัดบางไส้ไก่ กทม. บอกอีกว่า อาตมาในฐานะที่เคยเป็นเด็กลูกหลานคนยากจนมาก่อน เคยเป็นลูกชาวไร่ชาวนาที่ยากจนและด้อยโอกาสที่สุดมาก่อน พอได้มีทางเลือกให้กับชีวิตด้วยการได้บรรพชาเป็นสามเณรและ...ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนามา 51 ปีแล้ว พอได้มีโอกาสเรียนหนังสือและได้รับการศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยสงฆ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้มีโอกาสเผยแผ่ธรรมะสอนเด็ก เยาวชน ประชาชน และช่วยเหลือเด็กกำพร้า เด็กยากจน เด็กด้อยโอกาสอุปการะส่งเด็กให้ได้เรียนหนังสือจนเรียนจบชั้นปริญญามามากพอสมควร เคยได้ยินข่าวร้ายที่พระภิกษุบางรูปประพฤติผิดศีลธรรมและกฎหมายที่ร้ายแรงมาก่อนอย่างเช่นการทุจริตเครื่องราชฯจนถูกจำคุกหัวโต เคยได้ยินสมีที่เกี่ยวข้องกับสีกา มีนิกร ยันตระ ภาวนาพุทโธ เป็นต้น...ก็ถือว่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจนักบวช มาวันนี้...กลายเป็น “ไก่ตายทั้งเล้า” เพราะพระผู้ใหญ่หลายสิบรูปได้ประพฤติผิดพระธรรมและพระวินัยชนิดร้ายแรงจนขาดจาก “ความเป็นพระภิกษุ” กับสีกาเพียงคนเดียว...สร้างความสลดหดหู่ใจให้กับชาวพุทธและพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาเพียงใดจนบอกไม่ถูกถ้าเราจะยึดคำว่า “ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์” กันต่อไปอีกไม่ได้เสียแล้วเพราะบุคลากรอันสำคัญของพระพุทธศาสนาได้ทำลายพระพุทธศาสนาเพราะไม่สามารถกำหนดหรือกำจัดกิเลสของตนเองได้ มั่วสุมลุ่มหลงอยู่ในกามารมณ์ ทั้งๆที่สอนชาวบ้านอยู่ทุกวัน...แต่ตนเองกลับแพ้ภัยที่กระทำขึ้นมาจนมองเป็น “ปัจจุบันกรรม”...“นารีพิฆาต เราได้พบเห็นมาแล้วในชาตินี้”มุมมองข้างต้นเหล่านี้ อาตมามิได้มีจุดประสงค์ที่จะย่ำยีหรือทำลายพระภิกษุด้วยกันหรือทำลายพระพุทธศาสนาที่ตนเองเคารพและนับถือด้วยชีวิตเลย แต่จำเป็นต้องมาให้สติ ความรู้ ความเข้าใจ วิธีการปฏิบัติเพื่อจะได้เป็นฐานแห่งความรู้แล้วนำไปประพฤติปฏิบัติต่อไปในวันข้างหน้าเพราะ “พระพุทธศาสนา” ของเราจะยืนยงคงอยู่อีกต่อไปได้ก็เพราะ “พุทธศาสนิกชน” คือ ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนานี่เอง ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เท่านั้นที่จะรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา“โอกาสที่พระภิกษุสามเณรหรือนักบวชในพระพุทธศาสนาจะขาดจากความเป็นนักบวชและเป็นอันตรายต่อนักบวชคือ...สตรี สตางค์ สติ นักบวชรูปใดประพฤติพระธรรมและพระวินัยในศีลข้อใดข้อหนึ่งนับตั้งแต่อาบัติปาราชิกหรืออาบัติสังฆาทิเสสที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศแล้วก็ถือว่าความเป็นนักบวชก็หายไป”พระครูจินดาสุตานุวัตร ย้ำว่า คนอื่นไม่รู้แต่เจ้าตัวก็รู้อยู่แก่ใจ ภาษาชาวบ้านจึงเรียกนักบวชรูปนั้นว่า “ผ้าเหลืองห่มตอ” ดังนั้นสตรีเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ แต่สตรีไม่เป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาถ้าบุคคลนั้นระลึกอยู่เสมอและไม่สำคัญผิดคิดว่านักบวชรูปนั้นวันข้างหน้า “จะต้องเป็นสามีของฉัน”สตางค์หรือทรัพย์สินเงินทองก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าแต่ละท่านจะมีแนวความคิดและหาวิธีการมิให้นักบวชเข้าไปเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินก็ตาม สุดท้ายก็กลายเป็น “ตำพริกละลายในแม่น้ำ” ทุกทีเพราะไม่สามารถสร้างกฎหรือตั้งกติกามาให้ได้ปฏิบัติกันเห็นเป็นรูปธรรม“สตางค์มีความสำคัญและจำเป็น แต่ถ้าผู้ใช้หรือผู้บริหารมิให้สตางค์มันครอบงำหรือมิให้ตนเองตกเป็นทาสของมันแล้ว ความสำเร็จหรือการชนะสิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นและก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมหาศาล ดังนั้นไวยาวัจกรคือคุณโยมผู้ทำหน้าที่ดูแลการเงินของวัดและพระภิกษุสามเณรจึงมีความสำคัญอย่างยวดยิ่ง”ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการผิดพลาดในการบริหารการใช้จ่ายเงินที่ผิดวัตถุประสงค์ของผู้บริจาคมา สตางค์จะไม่เกิดโทษต่อนักบวชถ้ามีไวยาวัจกรช่วยดูแลตรวจสอบมิให้เกิดช่องว่างของการปฏิบัติ ส่วนสติก็มีความสำคัญอีกประการหนึ่ง พระภิกษุมักจะเทศน์สอนชาวบ้านอยู่ตลอดเวลาว่าใช้ชีวิตจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา แต่...กลับไม่มีสติเตือนใจตนเองก็มีโอกาสกลายเป็นคนเปล่าประโยชน์ ถ้าพระภิกษุแต่ละรูปตระหนักในความเป็น “สมณะ” ว่าเรามีเพศที่แตกต่างจากชาวบ้านผู้ครองเรือนแล้ว ควรประพฤติให้ถูกต้องตามพระธรรมและพระวินัยอย่างเสมอต้นเสมอปลายมิให้ด่างพร้อย...ก็จะถือว่าเป็น “อุดมเพศคือเพศสูงสุดของชีวิตแล้ว” จะกลายเป็นเพศที่ชาวบ้านกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ แต่มาวันนี้ชาวบ้านและชาวพุทธเริ่มจะไม่แน่ใจว่าตนเองกำลังกราบไหว้นักบวชเหมือนรูปที่จะเป็นข่าวชั่วหรือไม่? จึงขอให้สหธรรมิก...ผู้มีธรรมร่วมกันจงมองเห็นโทษของสตรี สตางค์ และการขาดสติให้มากขึ้น...ก็จะมีโอกาสช่วยรักษา “ศรัทธาชาวพุทธ” ให้กลับฟื้นคืนมาได้อีกระดับหนึ่ง“ปัญหามีไว้เพื่อให้แก้ไข มิได้มีไว้เพื่อให้กลุ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมไม่มีทางตัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีทางเลือกและมีทางออกอย่างแน่นอน” พระครูจินดาสุตานุวัตร กล่าวทิ้งท้าย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม