หลังจากหาข้อยุติสงครามยูเครนแบบรวบรัดไม่สำเร็จ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จึงเริ่มกลับมาใช้วิธีเพิ่มแรงกดดันต่อรัฐบาลรัสเซียโดยให้เวลารัสเซีย 50 วันในการหาทางบรรลุสันติภาพ มิฉะนั้นรัฐบาลสหรัฐฯจะใช้มาตรการที่ตัวเองถนัด นั่นคือการใช้ “กำแพงภาษี” ซึ่งชาติที่เป็นคู่ค้าสำคัญของรัสเซียจะถูกกำหนดภาษีเพิ่มในอัตรา 100%นักวิเคราะห์จากกลุ่มคลังสมองวาลไดของรัสเซีย มองประเด็นที่เกิดขึ้นว่า 1.เห็นได้ชัดว่าประธานาธิบดีทรัมป์หงุดหงิดกับจุดยืนของรัฐบาลรัสเซียในเรื่องยูเครน การที่รัสเซียไม่ยินยอมที่จะ “แช่แข็ง” ความขัดแย้งครั้งนี้ตามที่รัฐบาลวอชิงตันและรัฐบาลเคียฟต้องการ ได้ทำให้การเจรจาของนายทรัมป์มาถึงทางตัน2.หากมีการบังคับใช้กำแพงภาษี 100% เกิดขึ้นจริง ก็จะเป็นการเปิดทางให้มีการใช้กำแพงภาษีระลอกสองในอัตรา 500% ตามที่เคยมีรายงานข่าวระบุไว้ ทั้งยังปูทางไปสู่การคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อรัสเซีย ตามแผนของวุฒิสมาชิกสายที่หมกมุ่นกับการฆ่ารัสเซีย อย่างนายลินซีย์ เกรแฮม3.ประธานาธิบดีทรัมป์จะสามารถปรับอัตรากำแพงภาษีได้ตามความเหมาะสม เหมือนอย่างที่กำลังทำกับทั่วโลก ดังนั้นอัตราภาษีต่อประเทศคู่ค้าสำคัญของรัสเซีย อาจเป็น 100% หรือ 500% หรือกึ่งกลางระหว่างนั้น นอกจากนี้ยังสามารถดูจากกรณีของอิหร่านเป็นตัวอย่างได้ โดยในตอนนั้นประเทศที่ยอมลดการซื้อน้ำมันจากอิหร่าน ก็ได้รับการตอบแทนยกเว้นกำแพงภาษีในฐานะ “เด็กว่านอนสอนง่าย”4.กลุ่มประเทศ “ซีกโลกใต้” (Global South) ยังไม่พร้อมที่จะประสานงาน หรือรวมตัวกันเพื่อตอบโต้สหรัฐฯ เห็นได้จากกรณีกำแพงภาษีตั้งแต่เดือน เม.ย.ที่ผ่านมา มีหลายประเทศที่ยอมจำนนไปแล้ว จีนก็วางตัวอย่างระมัดระวัง ด้วยเหตุนี้จึงเชื่อว่าในระยะสั้นจะมีคนซื้อสินค้าของรัสเซียลดลงเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกทรัมป์โกรธ และอาจต้องการสิ่งตอบแทนจากรัสเซียเพิ่มเติม ในฐานะที่ยอมเสี่ยงมาค้าขายกับรัสเซีย5.การยื่นคำขาดของผู้นำสหรัฐฯครั้งนี้ เป็นไปได้สูงที่รัฐบาลรัสเซียจะเมินเฉย ซึ่งสถานการณ์จากนี้จะกลับไปสู่จุดของการเผชิญหน้าที่ทุกคนคุ้นเคย...สหรัฐฯจะยกระดับการคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งอาวุธให้ยูเครนเพิ่ม (จะทางตรงหรืออ้อมก็แล้วแต่) โดยหวังว่าเศรษฐกิจของรัสเซียจะล่มสลาย ขณะที่รัสเซียก็เดินเกมยาวในสนามรบ รอเวลาที่กองทัพยูเครนจะประสบความยับเยิน.ตุ๊ ปากเกร็ดคลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม