ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังเปิดศึกรอบด้าน เพียง 6 เดือนที่ครองอำนาจก็ทำสงครามการค้าป่วนไปทั่วโลก อีกด้านหนึ่งก็ทำสงครามกับชาวอเมริกันด้วยกันเอง เปิดศึกกับผู้ว่าการรัฐพรรคเดโมแครต เปิดศึกกับมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯ เพื่อปกป้องยิวอิสราเอล ทรัมป์ได้ออกคำสั่งยกเลิกและแช่แข็งเงินทุนสนับสนุนนักวิจัยชั้นนำในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ ทรัมป์ได้หั่นเงินสนับสนุนด้านวิจัยของมหาวิทยาลัยชั้นนำถึง 50% เพื่อบีบให้มหาวิทยาลัยชั้นนำยอมอยู่ใต้คำสั่งเผด็จการของทรัมป์ แต่ก็ไม่ได้ผลวันเสาร์สบายๆวันนี้ผมเลยชวนท่านผู้อ่านไป “ส่องอนาคตอเมริกา” ผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโลก วันนี้กำลังถูก “จีน” ลูบคมไล่จี้มาติดๆ ผู้นำสหรัฐฯทั้ง ไบเดน และ ทรัมป์ ต่างก็ออกกฎหมายมากีดกันจีน ห้ามบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯขายเทคโนโลยีใหม่และชิปเอไอให้กับบริษัทจีน หวังบีบจีนให้ล้าหลังสหรัฐฯด้านเทคโนโลยียุคใหม่ แต่จีนก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆในรายงาน “เกมเดิมพันอนาคตสหรัฐฯ” คอลัมน์ World Exclusive ใน วารสารการเงินธนาคาร ฉบับกรกฎาคม ระบุว่า สหรัฐฯยืนเป็นหนึ่งในแง่ความก้าวหน้าด้านงานวิจัยและพัฒนา (R&D) มาโดยตลอด เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักวิจัยคุณภาพระดับโลก เข้าไปทำงานในสหรัฐฯ ที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯให้การสนับสนุนงานวิจัยทุกแขนงอย่างเต็มที่ ด้วยเงินทุนมหาศาล ห้องแล็บที่ทันสมัย รวมถึงเสรีภาพทางความคิด ทำให้เมืองลุงแซมเข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจ การทหาร และเทคโนโลยี “ระบบอินเตอร์เน็ต” ก็เริ่มมาจากเครือข่ายงานคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย ด้วยเงินอุดหนุนจากกระทรวงกลาโหม Google ก็กำเนิดใน มหาวิทยาลัย Stanford ด้วยเงินสนับสนุนจากมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ผลิตภัณฑ์ยาและเกษตร ฯลฯ ล้วนเกิดจากความร่วมมือของรัฐกับเอกชนและสถาบันการศึกษามายาวนาน งบประมาณด้าน R&D ของสหรัฐฯสูงถึง 3.6% ของจีดีพี หรือกว่า 9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กว่า 32 ล้านล้านบาท มีนักวิทยาศาสตร์ได้รับรางวัลโนเบลถึงครึ่งหนึ่งของทุกปี มีมหาวิทยาลัยที่มีผลงานวิจัยดีเด่นที่สุดในโลกถึง 4 ใน 10 แห่งน่าเสียดายที่ความยิ่งใหญ่ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กำลังถูกคุกคามจาก ประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ปรึกษาใกล้ชิดทรัมป์ก็คอยกรอกหูว่า R&D ของสหรัฐฯต้องรื้อใหญ่ เพราะทำงานไร้ประสิทธิภาพ นักวิจัยหลงอยู่ในวังวนความเท่าเทียม ทรัมป์เลยสั่งตัดงบและเล่นงานมหาวิทยาลัยชั้นนำ ห้ามรับนักศึกษาจีนและนักศึกษาหัวรุนแรงอำนาจที่ล้นโลก ทำให้ทรัมป์หูเบาและดวงตามืดมิด นวัตกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เป็นผลงานที่คิดค้นจากนักวิจัยต่างชาติถึง 40% ทั้งที่นักวิจัยต่างชาติมีสัดส่วนไม่ถึง 20% ของประชากรสหรัฐฯ ความก้าวหน้าทางวิทยาของสหรัฐฯ ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติเข้าไปเรียนมากที่สุดในโลก ส่วนใหญ่เน้นเรียนด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ คณิตศาสตร์ ช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมานักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่า 1 ใน 3 มาจากอินเดีย อีก 25% มาจากจีน นักศึกษาต่างชาติขนเงินมาลงทุนด้านสติปัญญาในสหรัฐฯ และแต่ละปีสูงถึง 43,800 ล้านดอลลาร์ กว่า 1.44 ล้านล้านบาท ในช่วงปี 2023-2024 ทำให้มหาวิทยาลัยสหรัฐฯมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ส่งผลถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯด้วยเมื่อ ทรัมป์หันมาเล่นงานมหาวิทยาลัยชั้นนำในสหรัฐฯเอง เล่นงานนักศึกษาต่างชาติที่ขนเงินมาให้สหรัฐฯ นักศึกษาต่างชาติก็เลยมีแนวโน้มหันไปเรียนที่ประเทศอื่น เช่น นักศึกษาอินเดียจุดหมายปลายทางคืออังกฤษ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวเร็วนักวิจัยหัวกะทิในสหรัฐฯก็ทยอยหนีไปทำงานต่างประเทศ ไตรมาสแรกปี 2025 มีนักวิจัยสหรัฐฯขอไปทำงานต่างแดนเพิ่มขึ้น 30% นักวิจัยหัวกะทิเหล่านี้กลายเป็นเป้าหมายของจีนและยุโรปที่จ้องฉกตัว ยุโรปตั้งกองทุนใหม่ 500 ล้านยูโร เพื่อดึงตัวนักวิจัยหัวกะทิ เมษายนที่ผ่านมาก็มีนักวิจัยด้านเคมีจากมหาวิทยาลัย Harvard โบกมือลาเมืองอินทรีไปซบอกมังกรเรียบร้อย นักวิจัยระดับรางวัลโนเบลหลายท่านก็ไปทำงานกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีน เช่น มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยชิงหัว ประธานาธิบดีสี ผู้นำจีน ประกาศว่า จะดึงดูดนักวิจัยระดับโลกให้ได้มากที่สุดในปี 2035 อีกสิบปีไม่นานเกินรอ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม