ผมไม่แปลกใจผลสำรวจ “นิด้าโพล” ล่าสุด ประชาชนส่วนใหญ่ 42.37% เห็นว่า นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ควรลาออก รองมา 39.92% เห็นว่า นายกฯแพทองธารควรยุบสภาเลือกตั้งใหม่ มีเพียง 15.04% ที่เห็นว่าควรบริหารประเทศต่อไป ขณะที่ผลสำรวจ “สวนดุสิตโพล” เรื่อง ครม.ชุดใหม่และภาษีทรัมป์ ประชาชนส่วนใหญ่ 41.56% เห็นว่า ครม.ใหม่แย่กว่า ครม.ชุดเดิม และ ประชาชน 50.63% คิดว่า รัฐบาลจะเจรจาแก้ไขปัญหาภาษีทรัมป์ไม่ได้ เชื่อว่าแก้ไขได้ 28.97% ผลสำรวจสองโพลสะท้อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ไม่เอานายกฯ แพทองธารแล้ว และเชื่อว่ารัฐบาลนายกฯแพทองธาร เจรจาลดภาษีทรัมป์ไม่ได้แม้จะเป็นผลสำรวจ แต่ก็สะท้อนถึงความไม่เชื่อมั่น ความไม่ศรัทธาของประชาชนส่วนใหญ่ ที่มีต่อ นายกฯแพทองธาร และรัฐบาลเพื่อไทย บริหารประเทศต่อไปก็ลำบากความวิตกกังวลของคนส่วนใหญ่ก็คือ ภาษีทรัมป์ 36% ที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ส่งจดหมายมาถึงรัฐบาลไทยเป็นครั้งที่ 2 คงภาษีนำเข้าที่ 36% เท่าเดิม เพราะไทยส่งข้อเสนอไม่ทันเส้นตายแรก จะเริ่มเก็บตั้งแต่ 1 สิงหาคมนี้เป็นต้นไป รัฐบาลนายกฯแพทองธารเพิ่งตาลีตาเหลือก เรียกประชุมภาคเอกชนและกระทรวงที่เกี่ยวข้องปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุป แสดงให้เห็นถึง “ความไม่ใส่ใจ” ในปัญหาใหญ่ของชาติอย่างจริงจัง ถ้าไทยถูกสหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้า 36% คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สินค้าส่งออกไทยอาจเสียหายสูงถึง 900,000 ล้านบาท เกือบเท่ายอดส่งออกครึ่งปีแรก 2568 ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาทเศษเลยทีเดียวนอกจาก สินค้าอุตสาหกรรม ที่จะได้รับความเสียหายแล้ว สินค้าเกษตร ก็จะโดนกระทบอย่างหนักด้วย ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอีกหลายล้านครัวเรือนคุณลัดดาวัลย์ เฉลิมแสนยากร นักวิจัยอาวุโส ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า “เนื้อหมูและเครื่องในหมู” จะเป็นหนึ่งในรายการ “สินค้าเกษตร” อันดับต้นๆที่อาจถูกสหรัฐฯนำมาใช้ต่อรองเจรจาภาษี 36% เนื่องจากเป็นรายการสินค้าเกษตรที่เข้าข่าย “สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ” ได้ประเมินให้ ไทยต้องเปิดตลาดและนำเข้าเพิ่มจากสหรัฐฯ เนื่องจาก ไทยเก็บภาษีนำเข้าหมูจากสหรัฐฯสูง และไทยนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯในสัดส่วนที่น้อยข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า “ราคาเนื้อหมูที่ขายในเมืองไทยแพงกว่าเนื้อหมูที่ขายในสหรัฐฯถึง 1.3 เท่า” ไม่น่าเชื่อนะครับ คนไทยที่จนกว่าคนอเมริกันหลายสิบเท่า แต่กินเนื้อหมูในราคาที่แพงกว่าชาวอเมริกันถึง 1.3 เท่าเลยทีเดียวช่วงปี 2563–2567 ราคาหมูในสหรัฐฯขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.7 ดอลลาร์ (ราว 56.10 บาท) ขณะที่ราคาหมูในเมืองไทยขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 2.3 ดอลลาร์ (ราว 76 บาท) ราคาหมูเมืองไทยแพงกว่าหมูสหรัฐฯกิโลละ 60 เซ็นต์ 19.80 บาท ราคานี้เป็นข้อมูลจากราคาหมูที่ขายในรัฐไอโอวาและมินเนโซตา สหรัฐฯ และข้อมูลจาก Professional Pig Community ระบุว่า ราคาหมูในสหรัฐฯต่ำเท่าระดับผู้ผลิตหลักของโลกอย่างบราซิล เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สเปน ซึ่งมีราคาขายเฉลี่ยกิโลกรัมละ 1.5 ดอลลาร์ (ราว 49.50บาท)เป็นข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึงยิ่ง หมูเถื่อนจึงท่วมเมืองไทยหากไทยยอมเปิดตลาด “เนื้อหมูและเครื่องในหมู” ราคาถูกนำเข้าจากสหรัฐฯเพื่อต่อรองภาษี 36% จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อยถึง 97% ราว 149,000 ราย ทำให้ว่างงานและขาดรายได้ ซ้ำเติมผู้เลี้ยงหมูที่ล้มหายตายจากไปแล้ว 21% ในปี 2564–2567 และกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกพืชอาหารสัตว์อย่าง รำสด ข้าวโพด ปลายข้าว อีกราว 5 ล้านครัวเรือน กว่า 10 ล้านคน แค่หมูเรื่องเดียวก็ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรกว่า 10 ล้านคนแล้ว เอา “คุณหนู” มาเป็นนายกฯจะนำประเทศไทยไปรอดได้อย่างไร.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม