ท่ามกลางความขัดแย้งพิพาทเขต แดนระหว่าง ไทย–กัมพูชา “โลกออนไลน์” กลายเป็นสมรภูมิใหม่ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นกระแสชาตินิยม “โต้ตอบกลับข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม” ผ่านสงครามข้อมูลข่าวสาร ข่าวปลอม และจิตวิทยายั่วยุที่ดำเนินไปอย่างไม่หยุดหย่อนตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาแน่นอนผลกระทบไม่ได้จบอยู่แค่ “ระดับผู้นำ หรือการทูต” แต่ลุกลามมาถึงประชาชนเสพสื่อต้องรับมือกับกระแสข้อมูลข่าวสารที่เชี่ยวกรากทั้งโพสต์ ปลุกปั่น คลิปวิดีโอถูกตัดต่อจนถึงการบิดเบือนคำพูดของผู้นำหรือการตีความข้อพิพาทอย่างเลือกข้างมักถูกแชร์ต่อบนโลกออนไลน์ภายใต้แรงขับของอารมณ์โกรธ เกลียด และอคติสถานการณ์เช่นนี้กลายเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดการแบ่งขั้วทางความคิด “ทำลายบรรยากาศของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่าง 2 ประเทศ” ดังนั้นในสถานการณ์นี้ประชาชนจำเป็นต้องเสพข่าวอย่างมีภูมิคุ้มกัน ผศ.ดร.เอกพล เธียรถาวร อาจารย์ประจำคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน ม.ธรรมศาสตร์ แนะนำว่าในยุคข่าวเคลื่อนที่เร็วกว่าเสียงปืนนี้ “เหตุความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาในพื้นที่ชายแดน” จึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การประชุมทางการทูต หรือการรายงานข่าวในสื่อกระแสหลัก เพราะในวันนี้ความตึงเครียดหลายครั้งกำลังลุกลามเข้าสู่ “โลกออนไลน์” ถูกใช้เป็นเครื่องโหมกระพือขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของทุกคน ทำให้บางคนกลัว บางคนโกรธ และบางคนรู้สึกต้องลุกขึ้น “ปกป้องชาติอย่างไม่ลังเล” แล้วกระแสอารมณ์ก็หลั่งไหลผ่านสื่อมาเป็นบทพิสูจน์ให้คนในสังคม พร้อมรับมือข่าวสารเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างประเทศเพียงใด โดยเฉพาะการกดไลค์กดแชร์ของผู้เสพข่าวสารที่กำลังช่วยคลี่คลาย หรือกำลังเติมเชื้อให้ไฟลุกโหมกว่าเดิมถ้าพิจารณาดู “ข่าวสารบางส่วนปั้นให้เป็นศัตรู” ด้วยข่าวสารความขัดแย้งระหว่างประเทศมักถูกครอบด้วยสูตรสำเร็จตีตรา “เราเป็นพระเอกเขาเป็นผู้ร้ายที่เรียบง่าย” แต่ทรงพลังอย่างเราเป็นฝ่ายถูก...เขาเป็นฝ่ายผิด หรือเขารุกราน...เราจำเป็นต้องตอบโต้ กรอบเช่นนี้ทำงานได้รวดเร็วในเชิงอารมณ์สร้างภาพความเป็นศัตรูที่ชัดเจนในความคิดของผู้รับสาร “สื่อไม่น้อย” มักเลือกใช้ภาษาลักษณะนี้เพื่อดึงดูดความสนใจภายใต้ความเข้าใจเรียบง่ายที่มักแฝงความเสี่ยงลึกซึ้ง “ประชาชน” ในฐานะผู้บริโภคข่าวควรตระหนักถึงข่าวสารสามารถปั้นภาพอีกฝ่ายให้เป็นศัตรูได้ง่ายดาย เพียงแค่ใช้คำไม่กี่คำ และการตัดบางข้อมูลที่ควรปรากฏออกไปจากภาพรวมนั้นปัญหาในยุคนี้มีอยู่ว่า “ประชาชนไม่ใช่แค่ผู้รับข่าวแต่เขาคือผู้ส่งสารด้วย” เพราะในยุคโซเชียลฯ บทบาทของประชาชนได้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง “โดยไม่ได้เป็นแค่ผู้รับฟังเงียบๆอีกต่อไป” แต่ยังมีอำนาจในการเลือกแชร์ แสดงความคิดเห็น หรือการส่งต่อข้อมูลข่าวสารนั้น ซึ่งล้วนส่งผลต่อทิศทางของกระแสข่าวและความคิดในสังคมแล้วทุกการคลิก “การแชร์ก็ไม่ได้เป็นเพียงการส่งต่อข้อมูล” แต่เป็นการประทับตรารับรองทางอารมณ์ และการขยายแรงกระเพื่อมออกไปสู่ “คนอีกนับร้อยนับพัน” ดังนั้นสิ่งที่เลือกแชร์ในวันนี้อาจกำลังสร้างกำแพงแห่งความเกลียดชังที่มองไม่เห็นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจเป็นอิฐก้อนแรกช่วยสร้างสะพานแห่งความเข้าใจก็ได้ เพียงแต่ว่าผู้แชร์นั้นจะเลือกเป็น “ผู้สร้างความเข้าใจ” ที่ชวนให้ผู้คนมองรอบด้าน หรือจะยอมเป็นเพียงผู้ขยายอารมณ์โกรธ และส่งต่อความเกลียดชังออกไปไม่สิ้นสุดก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนทว่าต้องเข้าใจ “ระหว่างรักชาติ และหลงชาติไม่เหมือนกัน” โดยรักชาติที่แท้คือรักแบบกล้าบอกกันตรงๆเหมือนเพื่อนสนิทที่ควรเตือนคนกำลังเดินหลงทาง ขณะที่ “หลงชาติ” มักเป็นภาพลวงตาให้วิ่งตามเสียงโห่เชียร์โดยไม่ทันเห็นข้างหน้าเต็มไปด้วยหลุมพรางจากชาตินิยมที่มืดบอดไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องแบบ หรือติดอาวุธสิ่งนี้สามารถปรากฏได้ตาม “พาดหัวข่าว” ในภาพธงชาติถูกวางให้คู่กับคำว่า “รุกราน หรือในเสียงประกาศกร้าวว่าเราต้องสู้เพื่อความถูกต้อง” โดยไม่เปิดพื้นที่ให้มองความซับซ้อนของอีกฝ่าย “เป็นความอันตรายของชาตินิยม” สำหรับภูมิคุ้มกันทางความรู้สึก และทักษะจำเป็นของพลเมืองในยุคภูมิรัฐศาสตร์ระอุในขณะนี้คือ...“การรักชาติไม่ใช่เรื่องผิดเพียงแค่ในโลกยุคใหม่ไม่ใช่โกรธแล้วตอบโต้รวดเร็ว แต่ควรรักชาติแบบมีสติรู้เท่าทันยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่นได้ง่ายในปัจจุบัน เพราะการสร้างภูมิคุ้มกันความรู้สึกเป็นทางรอดดีที่สุด เริ่มจากรู้ทันกลไกการสร้างอารมณ์ร่วมที่สื่อ และสังคมออนไลน์ใช้ก่อน” ผศ.ดร.เอกพล ว่า ย้ำสำหรับ “การป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อกระแสที่ไม่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม” ต้องเริ่มต้นจากความกล้าหยุด และกล้าสงสัยแม้เนื้อหาข่าวถูกใจเรามากแค่ไหน แต่บางครั้งความเข้าใจผิดอาจไม่ได้เกิดจากข้อมูลเท็จเสมอไป “แต่มาจากข้อมูลจริงถูกเล่าอย่างเลือกมุม” เพื่อให้สอดคล้องอารมณ์ ความเชื่อ หรือท่าทีทางการเมืองดังนั้นก่อนจะแชร์อะไรออกไป “ลองหยุดตั้งคำถามข่าวนี้มาจากแหล่งใด มีหลักฐานข้อมูลรองรับหรือไม่ และการแชร์ออกไปจะส่งผลต่อใคร” เหล่านี้คือเกราะป้องกันสำคัญในยุคข่าวสารไร้พรมแดนที่ข้อมูลเดินทางเร็วกว่าเหตุผล ล้วนเป็นหนทางในการใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวมอย่างไรก็ดี อย่าพึ่งพาข้อมูลแหล่งข่าวเดียว “ควรหาข้อมูลในหลายมุมมองหลายแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ” โดยเฉพาะควรระวังเป็นพิเศษเมื่อข่าวใดกระตุ้นอารมณ์รุนแรงไม่ว่าจะเป็นความโกรธ เกลียด หรือฮึกเหิม สิ่งนี้อย่าหลงลืมแยกแยะระหว่างข้อเท็จจริงสามารถตรวจสอบได้กับความคิดเห็น หรือการตีความส่วนบุคคลนั้น สุดท้ายนี้ “พลเมืองที่มีสติคือภูมิคุ้มกันของประเทศ” ในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจไม่ได้ถูกกำหนดจาก “ผู้นำหรือสื่อเพียงลำพัง” แต่อยู่ในมือของประชาชนเลือกที่กดแชร์ แสดงความคิดเห็น หรือเลือกที่จะส่งต่อข้อมูลในแต่ละวัน และทุกคนก็มีทางเลือกที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของกระแสข้อมูลข่าวสารเหล่านี้หรือไม่ด้วยการเลือกตอบสนองต่อข่าวสารนั้นว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหา หรือจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา “แน่นอนว่าเราไม่อาจควบคุมสถานการณ์ระหว่างประเทศทั้งหมดได้” แต่เราควบคุมการตอบสนองต่อข่าวสารได้ ในการใช้ข้อมูลสร้างความเข้าใจในสังคม หรือปล่อยให้ปลายนิ้วกลายเป็นเครื่องมือปลุกอารมณ์เกินพอดี ฉะนั้นแล้ว “ความเข้าใจเป็นรากฐานความมั่นคงระหว่างประเทศระยะยาว” ถึงเวลาที่ทุกคนต้องมองข่าวสารไม่ใช่แค่ข้อมูลแต่เป็นพลังที่ต้องรับผิดชอบ ตรวจสอบแหล่งที่มา หลีกเลี่ยงแชร์ข่าวไม่ชัด และเปิดใจรับฟังหลายมุม เพราะสงครามโลกออนไลน์คือการแย่งชิงความคิดความเชื่อของคนทั้งประเทศ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม