จริงอยู่ที่ว่าในปัจจุบัน “กระแสธุรกิจสีเขียว ธุรกิจยั่งยืน แม้แต่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” เริ่มมีแข็งแกร่งขึ้น และเปลี่ยนจากกระแสสู่แนวทางหลักในเศรษฐกิจโลกใหม่ แต่อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจไทยจำนวนหนึ่งยังมองว่า “การเข้าไปสู่ความยั่งยืนต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก และอาจไม่ได้ผลตอบแทนคุ้มค่า”ในฐานะธนาคารที่ปล่อย “สินเชื่อสีเขียว” มากที่สุดของประเทศ 180,000 ล้านบาท “ธนาคารไทยพาณิชย์” ถือเป็นหนึ่งในแหล่งความรู้ และประสบการณ์ชั้นดีของภาคธุรกิจไทย หากต้องการคำแนะนำในการเริ่มเปลี่ยนผ่านธุรกิจของตัวเองสู่ธุรกิจสีเขียว และหากโชคดีอาจจะได้สินเชื่อเพื่อการปรับตัวติดมือมาด้วยต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา “กฤษณ์ จันทโนทก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ และ “ยรรยง ไทยเจริญ” Chief Economist and Sustainability Officer ได้นำสื่อมวลชนไปพบปะลูกค้าระดับท็อปของธนาคาร 2 รายที่ จ.ภูเก็ต รายแรกถือเป็น “ดาวค้างฟ้า” ที่ประดับวงการท่องเที่ยวภูเก็ตมายาวนาน “กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท” และอีกรายที่ กำลังเป็น “ดาวรุ่ง” กลุ่มหยี่เต้ง ฮอสพิทาลิตี้ ซึ่งทั้งสองรายได้เปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่โรงแรมยั่งยืน สามารถเป็นต้นแบบของโรงแรมในเมืองไทยที่ต้องการเข้าสู่การเป็นโรงแรมสีเขียว และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน“โรงแรมสีเขียว” ดีอย่างไร “ประมุขพิสิฐ อัจฉริยะฉาย” ประธานกรรมการบริหาร กะตะกรุ๊ป รีสอร์ท ประเทศไทย และ บียอนด์ โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท แชร์ประสบการณ์ให้ฟังว่า “เมื่อคุณเข้ามาในโรงแรม Beyond Kata คุณจะพบกับ Atrium ขนาดใหญ่ ที่ผมให้โจทย์กับคนออกแบบตั้งแต่แรก ให้เป็นสวนที่มีหลังคาสูง ทำให้ไม่ต้องเปิดแอร์ในห้องโถง ประหยัดค่าไฟได้เดือนละ 145,000 บาท ซึ่งหากนับตั้งแต่เปิดโรงแรม 35 ปี ประหยัดเงินไปกว่า 60 ล้านบาทแล้ว ต่อมาไทยพาณิชย์สนับสนุน เรานำโซลาร์เซลล์มาใช้ ช่วยประหยัดค่าไฟได้เดือนละ 400,000 บาท”นอกจากนั้น ด้วยการบริหารจัดการน้ำใช้ การลดการซักผ้าในห้องลูกค้า หากลูกค้ายอมใช้ซ้ำ เราลดน้ำการใช้ไปถึง 2,200 คิว ซึ่งภูเก็ตเป็นเกาะ ซื้อน้ำ 1 คิว ราคา 1000 บาท ทำให้เราเซฟเงินไปได้ถึง 220,000 บาทต่อเดือน และน้ำทุกๆหยดในโรงแรมยังจะถูกรีไซเคิลนํากลับมาใช้ใหม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำให้เราเซฟเงินได้อีก 347,000 บาทต่อเดือนขยะเปียกทั้งหมดของโรงแรมถูกใส่เข้าไปในเครื่องอัดแล้วก็ผลิตออกมาเป็นปุ๋ย แชมพู ครีมอาบน้ำ โลชั่น ที่ใช้ในห้องพักผลิตเองจากวัตถุดิบธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี อาหารบุฟเฟต์ที่เหลือ เราจะเก็บแล้วก็ส่งให้กับคนยากจนผ่านมูลนิธิที่เรียกว่า SOS รวมทั้งยังเปลี่ยนขวดพลาสติกเล็กๆที่ใส่แชมพู สบู่ ครีมนวดผม take away เป็นแบบขวดใหญ่ใช้ซ้ำ ซึ่งลดปริมาณขวด take away ได้ 2 ล้าน ขวดต่อปี“การรักษาสิ่งแวดล้อม จึงไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่คือการลงทุนที่มีผลตอบแทน แต่ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายแห่งไม่เข้าใจว่าดูแลสิ่งแวดล้อมแล้วประหยัดได้ ความสำเร็จที่เล่าทั้งหมด ทำให้ประหยัดเงินได้ 1.1 ล้านบาทต่อเดือน และเรายังลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ 50,000–54,272 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์” ขณะที่ หยี่เต้ง ฮอสพิทาลิตี้ ในส่วนโรงแรม “โฟร์พอยท์ส บาย เชอราตัน ภูเก็ต ป่าตอง บีช รีสอร์ท” นั้นเป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “โรงแรมสีเขียว” มาตั้งแต่ต้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของพันธมิตรโรงแรมคือเครือแมริออท และได้รับใบรับรอง Green Leaf Certificate ขณะที่โครงการ “เชอราตัน ภูเก็ต ในหาน บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา” ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ที่กำลังก่อสร้าง ก็ได้รับการวางแผนและออกแบบอย่างรอบด้านเพื่อให้ผ่านการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวระดับนานาชาติ หรือ EDGE Certification“สหรัฐ จิวะวิศิษฎ์นนท์” กรรมการบริหาร หยี่เต้ง ฮอสพิทาลิตี้ เล่าให้ฟังว่า กลยุทธ์สู่ความยั่งยืนของเรา อย่างแรกคือ Localization Strategy การใช้วัตถุดิบท้องถิ่น เรากระจายรายได้ด้วยการสั่งวัตถุดิบอาหารจากคนในชุมชน ทั้งส่วนโรงแรมและร้านอาหาร ทําให้มีเงินหมุนเวียนสู่ชุมชนภูเก็ต ทําให้เศรษฐกิจท้องถิ่นยั่งยืนขึ้น เรายังมีการลงทุนใน green investment ใช้ระบบ Digital เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยคาร์บอน ปีที่แล้ว carbon emission เราลด 6.72% energy consumption เราลดได้ 6.82% หรือคิดเป็นตัวเงินต้นจากเดือน ม.ค.ถึงตอนนี้ลดไป 2.1 ล้านบาท รวมทั้งมีโครงการร่วมกับเทศบาลป่าตองลด Food Waste นำอาหารเหลือแปรรูปเป็นปุ๋ย และอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้บริหารโรงแรมทั้งสองเห็นตรงกัน คือ การได้มาตรฐานโรงแรมสีเขียว จะช่วยให้หานักท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น เข้าได้ทุกแพลตฟอร์มการท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่พร้อมจ่ายในราคาสูง.อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” เพิ่มเติม