ตามที่ได้มีเหตุการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.2568 โดยกระทรวงการต่างประเทศได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน (RRC) เพื่อติดตามสถานการณ์และช่วยเหลือคนไทยในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่องนั้นนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงพัฒนาการว่า 1.สถานการณ์ความตึงเครียดมีแนวโน้มลดลง ภายหลังจากที่อิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงแล้วกว่าเกือบสัปดาห์ โดยท่าอากาศยานอิสราเอลเปิดให้บริการ ตามปกติ และอิหร่านเริ่มเปิดน่านฟ้าบางส่วน2.กระทรวงการต่างประเทศ และสถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะสถานเอกอัครราชทูตกรุงเตหะราน และสถานเอกอัครราชทูตกรุงเทลอาวีฟ ได้ติดตามสถาน การณ์อย่างใกล้ชิดตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ และดำเนินการช่วยเหลือคนไทยเมื่อเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น โดยในอิหร่านได้เปิดศูนย์พักพิงชั่วคราวที่เมืองเอมอล ให้คนไทย 35 คน ได้พำนัก และขณะนี้ทุกคนได้เดินทางกลับกรุงเตหะรานแล้ว3.เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. รมว.ต่างประเทศ ได้โทรศัพท์หารือกับรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศจอร์แดน เพื่อขอให้ช่วยเร่งรัด การผ่านด่านชายแดนสำหรับคนไทย ซึ่งปัจจุบัน สถานเอกอัครราชทูตกรุงเตหะรานช่วยเหลือคนไทยที่แสดงความประสงค์ออกจากอิหร่านแล้ว 11 คน และสถานเอกอัครราชทูตกรุงเทลอาวีฟ ได้ร่วมกับฝ่ายต่างๆ รวมถึงบริษัท Chemo Aharon ช่วยเหลือคนไทยและ แรงงานที่ประสงค์ออกจากอิสราเอล 41 คน4.แม้สถานการณ์จะมีพัฒนาการในทางบวก แต่กระทรวงการต่างประเทศจะยังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสถานเอกอัครราชทูตในอิหร่านยังอยู่ระหว่างรอรับคนไทยที่กำลังเดินทางไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวที่เมืองแวนของตุรกีอีก 40 คน ซึ่งเดินทางถึงในสุดสัปดาห์นี้และกลับประเทศไทยต่อไป ทั้งนี้ หากสถานการณ์ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจะพิจารณาย้ายการดำเนินการกลับไปยังที่ตั้ง ของสถานเอกอัครราชทูตในกรุงเตหะรานในโอกาสที่เหมาะสมต่อไป ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตกรุงเทลอาวีฟ เปิดทำการตามเวลาปกติตั้งแต่วันที่ 25 มิ.ย.คลิกอ่านคอลัมน์ “หน้าต่างโลก” เพิ่มเติม