แม้ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะพึงพอใจการเจรจาของคณะกรรมการเจบีซีวันแรก ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าอะไร แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเดินหน้ากดดันไทยทุกรูปแบบ ด้วยยุทธวิธี “เจรจาไปรบไป” ในขณะที่ ฝ่ายไทยนั่งรอผลการเจรจาอย่างเดียว ระหว่างที่เจบีซีกำลังเจรจากัน สองพ่อลูกฮุนเปิดเกมใหม่ต่อเนื่อง ทั้ง เกมการเมืองระหว่างประเทศ เพิ่มกำลังทหารประชิดชายแดนหลายจุด เล็งปืนมาทางฝั่งไทย ในขณะที่ รัฐบาลไทยยังไม่เห็นมีเกมอะไรเลยได้แต่นั่งรอผลเจรจา ทั้งที่น่าจะรู้ล่วงหน้ากันอยู่แล้ว เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่ยอมคุยเรื่องพื้นที่ปะทะและ 3 ปราสาท ที่กัมพูชาจะยึดจากไทยพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ไทยพบการวางกำลังของกัมพูชาหลายจุดในหลายพื้นที่ บริเวณตรงข้ามปราสาทโดนตวลและสัตตะโสม บ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ สร้างความกังวลใจให้ประชาชน มีการหันกระบอกปืนใหญ่เข้ามาฝั่งไทย โดยเฉพาะอาวุธสนับสนุนที่มีระยะยิงถึงพื้นที่ในอธิปไตยไทย ถือเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคง ฝ่ายไทยจึงปรับการวางกำลัง เตรียมกำลังให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นกันสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าตึงเครียดขึ้นกว่าเดิม แม้จะมีการเจรจาเจบีซีกันอยู่ ทำไม คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ บิดาของ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จึงไม่ช่วยเจรจาในทางลับกับ ฮุน เซน ซึ่งมีความสนิทสนมกันเป็นส่วนตัวมานาน เพื่อช่วยเหลือ นายกฯแพทองธาร ในด้าน การเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อได้ว่า นายกฯแพทองธารไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศแน่นอน ทำไม คุณทักษิณ จึงปล่อยให้ความสัมพันธ์สองประเทศบานปลายถึงขนาดนี้ท่าทีที่อ่อนแอของผู้นำไทย ทำให้เกิด เสียงสะท้อนจากประชาชน ผ่าน “นิด้าโพล” ที่เปิดเผยในวันอาทิตย์ว่า ประชาชนไว้วางใจกองทัพสูงถึง 86.26% แต่ ไม่ไว้วางใจรัฐบาลไทย 69.26% ไม่ไว้วางใจกระทรวงต่างประเทศ 66.18% และ พอใจต่อบทบาทการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของกองทัพสูงถึง 85.73% แต่ ไม่พอใจบทบาทของรัฐบาลไทย 68.93% ไม่พอใจต่อบทบาทของกระทรวงต่างประเทศ 66.72% ก็หวังว่าจะเป็น “กระจก” ที่ นายกฯแพทองธาร จะต้องตระหนักว่า ผลงานของรัฐบาลประชาชนพอใจหรือไม่ที่มีก็มาถึงคำถามว่า “ทำไมเขมรจึงกล้ารุกรานไทย” ทั้งที่เป็น ประเทศเล็กกว่าไทยในทุกด้าน คนที่ตอบคำถามนี้ได้ชัดเจนที่สุดก็คือ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งไปบรรยายเรื่อง “อนาคตประเทศไทยภายใต้โลกแห่งความผันผวน” ในหลักสูตร บยสส. 4 ว่า กัมพูชาทำแบบนี้เสมอเวลามีปัญหาในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจตอนที่จะมีการเลือกตั้งภายใน เขาก็จะใช้ภัยคุกคามจากต่างประเทศเข้ามาอ้างตลอด ก็มีความเป็นไปได้ว่า พล.อ.ฮุน มาเนต อาจจะยังไม่มีแรงควบคุมในประเทศมากพอ ก็เลยเพิ่มแรงรักชาติเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลอีกประเด็น เขาอาจจะเห็นว่า การเมืองไทยอ่อนแอ มีทั้งเรื่อง ปรับคณะรัฐมนตรี มีเรื่องพรรคไหนจะเข้าไม่เข้า ข้าราชการทั้งหลายก็เกียร์ว่างกันมาหลายเดือนแล้ว เขาก็ดูว่า ใครจะมา ใครจะไป เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี เพราะฉะนั้นก็เป็นจังหวะที่ดีที่สุดแล้วอีกประการหนึ่งที่บอกว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดก็คือ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพิ่งจะไปเยือนกัมพูชา ถ้าจะถามว่าจีนรักใครมากกว่าระหว่างไทยกับกัมพูชา ก็คงให้ความสำคัญกับไทยมากกว่า แต่ว่าตอนนี้เขาอาจจะใกล้ชิดกัมพูชามากกว่า อย่างน้อยที่สุดในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่เขาเพิ่งเอามาให้ทางกัมพูชา จริงๆ เขาก็รู้ว่า แม้เราใกล้ชิดกับจีน แต่เราก็ทำอะไรหลายอย่างที่จีนไม่พอใจ และทำอะไรหลายอย่างที่จีนพอใจ และอเมริกาไม่พอใจเขาก็รู้ว่า ความใกล้ชิดของเรากับประเทศมหาอำนาจที่จะมาช่วยเรา มันไม่ขนาดนั้นขณะเดียวกัน ฮุน เซน ยังพูดว่า ถ้าขืนไทยทำอย่างนี้ (ตัดเน็ตตัดไฟ) เขาจะเปิดเผยว่าเวลานักการเมืองไทยหนีออกไปทางช่องทางธรรมชาติ เขาไปกันอย่างไร คือเขารู้ไพ่หมดเขาจี้ได้หมด อย่างน้อยก็หัวใจของรัฐบาลไทย ฟัง ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย พูดแล้วก็ชักจะสิ้นหวัง “ถึงเวลาที่คนไทยต้องลุกขึ้นมาปลุกให้รัฐบาลรักชาติ” อย่างที่โพสต์กันเสียแล้ว.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม