มันเหมือนเขย่าทั้งรัฐบาล ไม่ใช่การปรับ ครม.นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองหัวหน้าพรรคประชาชน ที่มีบทบาทภายในพรรคเพิ่มมากขึ้นจนถูกจับตามองเป็นพิเศษ ท่ามกลางสมรภูมินิติสงครามเชี่ยวกราก ขยับมุมมองถึงสถานการณ์ทางการเมืองชนิดต้องติดตามดูวันต่อวัน โดยเฉพาะเดือน มิ.ย. ถือว่ามีเหตุการณ์ร้อนแรงที่มีหลายหมุดหมายจะเกิดขึ้นรวมถึงกระแสปรับ ครม. ปกติเมื่อก่อนเวลาปรับ ครม. แต่ละพรรคการเมือง “ไม่มีแตกภายใน” รอบนี้พรรคร่วมรัฐบาลเขย่ากันจนไม่รู้ว่า พรรคไหนเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านเขย่าแรงเช่นนี้ทุกพรรคร่วมรัฐบาลรอผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 69 แต่งตั้งข้าราชการเดือน ก.ย.68 ให้เรียบร้อยก่อนการเมืองกระเพื่อมอีกในช่วงปลายปีมีโอกาสเลือกตั้งเร็ว เพราะสถานภาพของรัฐบาลอยู่ในสภาพตบจูบตลอด พรรคประชาชนเตรียมพร้อมเลือกตั้งอย่างไร นายวีระยุทธ บอกว่า ตบจูบอาจเบาไป เขาเล่นแรงถึงขั้นกระตุกขา หรือผลักกันตกตึกแล้วตบจูบต้องยกให้สหรัฐอเมริกากับจีน สุดท้ายจับมือประคองกันไปได้ เศรษฐกิจเอื้ออาทร อาศัยกันและกัน แต่ของไทยมันต้องบอกว่าเป็นบ่อนทำลายภายในรัฐบาลที่ไม่เกี่ยวกับฝ่ายค้านขณะนี้พรรคการเมืองแต่งตัวเตรียมเลือกตั้ง ท่ามกลางพรรคร่วมรัฐบาลชุลมุนวุ่นวาย และกระแสชาตินิยมพุ่งปรี๊ด กระแสนิยมนำทหารแซงกระแสของรัฐบาล มีโอกาสเกิดอำนาจนอกระบบเข้ามาแทรก นายวีระยุทธ บอกว่า ทุกพรรคการเมืองในรัฐสภาควรช่วยกันยืนยันหลักการประชาธิปไตยพื้นฐานเพราะรัฐประหารปี 35–49–57 ไม่ตอบโจทย์“ทิ้งปัญหาหลายอย่างคาราคาซังเอาไว้ ตั้งแต่ตัวรัฐธรรมนูญ ขบวนการจีนเทา รวมถึงเศรษฐกิจคือกับดักรายได้ปานกลาง ซึ่งมีบทเรียนจากหลายประเทศทั่วโลกจากประเทศยากจนเป็นประเทศรายได้ปานกลาง อาจมีเผด็จการทหารคุม ทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวัน แต่โค้งสุดท้ายที่เคลื่อนไปสู่ประเทศรายได้สูง มันยากมีความซับซ้อน ระบอบทหารแก้ไม่ได้ทั้งหมดแก้ได้โดยระบอบประชาธิปไตย ตรงนี้จึงเป็นโค้งประชาธิปไตยที่ต้องช่วยกันยืนยันทางเศรษฐกิจด้วย เพื่อให้ประเทศเคลื่อนไปข้างหน้าและเป็นประเทศที่มีรายได้สูง”ขณะนี้การเมืองยังอยู่ในห้วงสมรภูมินิติสงคราม บนสถานการณ์รัฐบาลไร้เสถียรภาพและประสิทธิภาพ นายวีระยุทธ บอกว่า มีสมรภูมิย่อยๆเต็มไปหมด โดยเฉพาะตั้งแต่นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ละกลุ่มก้อนทางการเมืองไม่เป็นเอกภาพ เขาก็เห็นช่องทางเยอะมากในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลแต่ละพรรคโดนถ้วนหน้า มีทั้งประเด็นเลือก สว. ยุบพรรคการเมือง เมื่อรวมกันทำให้ภาพรวมของประเทศไม่ดีปั่นป่วน ไร้เสถียรภาพ ไม่ดีกับเศรษฐกิจโดยรวมสะท้อนให้เห็นภาพตั้งแต่ตลาดหุ้นไทย เงินไหลออก นักลงทุนไทยกังวลไม่กล้าลงทุน ในระยะสั้นมีแนวโน้มด้านลบในช่วงปีสองปีนี้ แต่ระยะยาวในจังหวะที่บริษัทตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะตอนมีสงครามการค้า มีการแย่งชิงลงทุนของบริษัทไฮเทคที่ไหลออกจากจีน สหรัฐฯ ยุโรป ไต้หวัน กำลังตัดสินใจกระจายฐานผลิตไปที่ไหนไทยอยู่ในจุดได้เปรียบเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางสงครามการค้า ไทยก็มีโอกาสเช่นกัน แต่พอเจอภาวะการเมืองแบบนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ดีกับทั้งประเทศโดยรวม ในช่วงที่เศรษฐกิจของไทยก็มีปัญหาอยู่แล้ว ปัจจัยภายนอกที่ควรเป็นบวกก็กลายเป็นลบฝ่ายที่ยื่นเรื่องร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดรัฐบาล สส-สว. และ กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 68 กรณีเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 นายวีระยุทธ บอกว่า เราไม่เห็นด้วยกับวิธีการใช้งบของรัฐบาลเพราะต้องการให้กระตุ้นเศรษฐกิจด้วยวิธีอื่น แต่มันเป็นงบที่รัฐบาลออกคำสั่งให้ธนาคารรัฐไปใช้เงินก่อนเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแต่ถ้าขีดเส้นให้ไกลเกินไปจะวุ่นวายไปหมด ฉะนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อ หวังว่าจะมีกระบวนการชี้แจงทำความเข้าใจกันได้ ขอให้มีความชัดเจนทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เสร็จเร็วยิ่งดีกับทุกฝ่ายไม่อยากให้เกิดภาวะสุญญากาศการเมือง–เศรษฐกิจทีมการเมือง ถามว่า ฝ่ายร้องต้องการใช้มาตรา 144 ล้มกระดานการเมือง เพื่อนำไปสู่การตั้งรัฐบาลใหม่ หรือรัฐบาลที่มาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 ที่กำหนดว่า “เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญบังคับแก่กรณีใด ให้กระทำนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทย...”นายวีระยุทธ บอกว่า ยามเศรษฐกิจไม่ดีคนมักมองระยะสั้น ปัญหาการเมืองก็เช่นกัน กลายเป็นว่า......ทุกคนขอเกมระยะสั้น พร้อมเปลี่ยนเกมความจริงรากเหง้าเกิดจากรัฐธรรมนูญ 60 ตัวระบบมันไม่ดี การเมืองมีปัญหา จนไม่สามารถทำอะไรได้โดยเฉพาะตอนนี้โลกล้อมไทย การต่างประเทศเป็นเรื่องเดียวกับในประเทศ กลายเป็นปัญหาปากท้อง การเมืองกับเศรษฐกิจกลายเป็นเรื่องเดียวกัน ความยากตรงนี้ที่ต้องแก้ทั้งระบบ เริ่มจากทำกติกาให้ดี ทั้งการใช้อำนาจ การตรวจสอบ บทบาทองค์กรอิสระรัฐบาลเพื่อไทยยังมีเวลาแก้รัฐธรรมนูญ“ถ้ารัฐบาลยังเห็นและให้ความสำคัญ อย่างน้อยพยายามผลักดันเท่ากับเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ที่เจอทางตัน เผชิญอุปสรรค แต่ยังหาช่องสู้จนได้ต้องใช้มายด์เซตเดียวกันนี้กับการแก้รัฐธรรมนูญ ต่อให้เจอ อุปสรรคก็มีไว้ก้าวข้าม ถึงเดินหน้าแก้ปัญหาการเมืองระดับฐานรากได้ ไม่ใช่เจออุปสรรคนิดหนึ่งถอยๆ”พรรคประชาชนอยู่ในสมรภูมินิติสงครามด้วย โดยเฉพาะ 44 สส. พรรคก้าวไกลเดิม มีระดับแกนนำพรรคประชาชน 25 คนอยู่ในนั้นด้วย แถว 4 ต้องขยับขึ้น โดยมีชื่อของ นายวีระยุทธ จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าคนใหม่ด้วย นายวีระยุทธ บอกว่า เอาทีละขั้น อย่าไปไกลขนาดนั้นบางทีมองไกลมากเกินไป แต่ลืมยืนยันหลักการระยะสั้น ยืนยันอยู่กับปัจจุบัน สู้กับปัจจุบัน ขอย้ำช่วยยืนยันหลักการไม่เช่นนั้นเกมมันจะเปลี่ยนไปแบบไม่มีทางจบคล้ายๆสงครามการค้า การทำงานระบบองค์กรต้องมองซีนาริโอทุกความเป็นไปได้ของฉากทัศน์ แม้มีความน่าจะเป็นไม่เท่ากัน เหมือนสงครามการค้าต้องประเมินให้ครบทุกหน้า ไพ่ออกหน้าไหน หน้าไหนเป็นไปได้ที่สุด ก็ทำงานในทิศทางนั้นทั้งนี้ ระหว่างการสัมภาษณ์แกนนำ ของพรรคประชาชนพยายามไม่ระบุถึงการเมืองนอกระบบ เพื่อไม่อยากให้สังคมรู้สึกว่าการเมืองนอกระบบเป็นเรื่องธรรมดา จึงเน้นการเมืองในระบบที่เป็นทางออกของประเทศไทยได้จริง ทำให้พรรคประชาชนวางฉากทัศน์หนึ่งมีเลือกตั้งปี 69 และมีเลือกตั้งปี 70 ก็ไม่มีปัญหาขณะนี้เชื่อว่าแบรนด์ประชาธิปไตย การเมืองของเราแข็งแรง ตอนนี้พยายามเพิ่มแบรนด์ทางสังคม ประกันสังคม การศึกษา เป้าหมายสำหรับเลือกตั้งครั้งหน้า ทำให้เป็นพรรคที่ทำในทุกมิติ โดยเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจ ต่อไปการแก้ไขปัญหาของประเทศในด้านเศรษฐกิจสำคัญมากเสนอตัวเป็นพรรคการเมืองที่พร้อมเข้าไปเป็นรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พลิกฟื้นประเทศแทนพรรคเพื่อไทย แสดงว่ามียุทธศาสตร์เข้าสู่อำนาจรัฐแล้ว หลังจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาล้มเหลว นายวีระยุทธ บอกให้เห็นภาพฝ่ายการเมืองทำงานร่วมกับข้าราชการ ผ่าน กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯปี 69ตั้งเป้าเปลี่ยนระบบราชการให้ตอบสนองประชาชน ทำประโยชน์ให้ประเทศมากขึ้นผ่านกระบวนการงบประมาณ ตั้งค่าเคพีไอโครงการต่างๆ ใช้งบคุ้มหรือไม่ ค่อยๆกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพร้อมเสนอมุมมองต่อประเด็นร้อนๆชี้ให้สังคมเห็นว่า ถ้าเราเป็นรัฐบาลจะทำแบบนี้ ทั้งสงครามภาษี เหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชารวมถึงกรอบการจับมือกับพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาล.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม