วันนี้ คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยเขตแดนไทย–กัมพูชา (JBC) จะเปิดการเจรจานัดแรกหลังเกิดการปะทะที่ชายแดนช่องบก ฝ่ายไทยมี คุณประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตทูตไทยประจำ กัมพูชา เป็นหัวหน้าคณะ ฝ่ายกัมพูชามีใครเป็นหัวหน้าคณะยังไม่รู้วันเสาร์สบายๆ วันนี้ ผมจึงชวนท่านผู้อ่านไปคุยเรื่อง การเจรจาชายแดนไทยกัมพูชา กันนะครับ วันนี้สถานการณ์ดูดีขึ้นแต่ก็ยังไม่โอเค สองพ่อลูกตระกูลฮุน ที่ครองอำนาจในกัมพูชามายาวนาน กำลังต้องการปั่นกระแสชาตินิยมเพื่อเชิดชูนายกฯฮุน มาเนต ซึ่งคะแนนนิยมกำลังเสื่อมลง หลังจากที่ ฮุน เซน ผู้พ่อผลักดันขึ้นเป็นนายกฯสองปีก่อนผมเห็น รายชื่อกรรมาธิการฝ่ายไทย แล้วก็รู้สึกแปลกใจ รัฐบาลให้ความสำคัญในการเจรจาครั้งนี้มากแค่ไหน เพราะรายชื่อกรรมาธิการส่วนใหญ่ต่อท้ายด้วย “หรือผู้แทน” แสดงว่าตัวจริงไม่ไป ส่งตัวแทนไปก็ได้ เช่น นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือผู้แทน เอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ หรือผู้แทน พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหารหรือผู้แทนรวมทั้ง ผู้แทนกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ ทำไมรัฐบาลจึงไม่กำหนด “ผู้รู้จริง” เป็นตัวแทนฝ่ายไทยในการเจรจาก่อนไปประชุมที่กรุงพนมเปญ คุณมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้ประชุมมอบนโยบาย 3 ข้อ ให้ JBC ไทย นำไปเจรจากับกัมพูชาคุณมาริษ แถลงว่า ฝ่ายไทยยืนยันที่จะใช้กลไกทวิภาคีและมาตรการทางการทูตในการแก้ปัญหา และยืนยันว่า ไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก (ICJ) ตั้งแต่ปี 2503 แล้ว ดังนั้น การที่ฝ่ายกัมพูชาจะนำปัญหาชายแดนขึ้นฟ้องศาลโลก ไทยไม่เล่นด้วย ไทยจะเจรจาผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ได้แก่ JBC GBC และ RBC เท่านั้น การเจรจาต้องทำให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในเรื่องเส้นเขตแดน เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน และที่สำคัญที่สุด ฝ่ายไทยจะต้องยืนหยัดที่จะปกป้องอธิปไตยของไทย และไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนโดยเด็ดขาดความจริง ไทยกับกัมพูชามีการปักปันเขตแดนสำเร็จมาแล้วถึง 603 กม. มีหลักเขตถึง 73 หลัก จากชายแดนที่ติดต่อกันยาว 798 กม. เหลือพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดนยาว 195 กม. จากช่องบกไปถึงช่องสะงำ จากระยะเวลาที่ห่างมาเป็นร้อยปี หลักเขตแดนก็แตกหักสูญหาย หรือถูกทำลายโยกย้ายจากคนในท้องถิ่น ทางออกที่ดีที่สุดคือ ใช้เทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมยุคใหม่ ที่สามารถระบุพื้นที่ดั้งเดิมได้อย่างชัดเจน ดีกว่ามานั่งเถียงกันในห้องแอร์ที่ผมบอกว่า การเจรจาครั้งนี้มีความสำคัญมาก รัฐบาลไม่ควรส่งแค่ตัวแทนไปร่วมเจรจา ต้องส่งตัวจริงไปทั้งหมด เพราะการเจรจาครั้งนี้ เป็นการเจรจาตาม MOU 2543 ที่ไทยทำไว้กับกัมพูชา ถ้าการเจรจาครั้งนี้ล้มเหลว ก็จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง MOU 2544 ที่ไทยทำไว้กับกัมพูชาอีกฉบับ เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตรในอ่าวไทย ซึ่งเต็มไปด้วยขุมทรัพย์ก๊าซและน้ำมันมูลค่ากว่า 5 ล้านล้านบาท ซึ่งฝ่ายไทยก็อยากเจรจากับกัมพูชา เพื่อนำก๊าซและน้ำมันขึ้นมาใช้ประโยชน์ แต่ยังติดปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ที่ฝ่ายกัมพูชาทำแผนที่เอง แล้วลากเส้นมาผ่ากลางเกาะกูดของไทย การเจรจา MOU43 กับ MOU44 จึงต้องไปด้วยกันในแนวทางเดียวกันมีคนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมตระกูลชินวัตรขึ้นมาเป็นรัฐบาล ไทยจึงมีปัญหากับกัมพูชาทุกครั้ง เริ่มตั้งแต่ รัฐบาลทักษิณ 1 ก็มีเรื่องการเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา ต่อมา รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็มีเรื่องกัมพูชาขอให้ศาลโลกตีความคำพิพากษาไทยก็แพ้อีก จนมาถึง รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ก็เกิดเรื่องพิพาทดินแดนอีกการเจรจาครั้งนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะต้องแก้ตัวให้ได้ ต้องผลักดันทุกวิถีทางเพื่อให้การเจรจานำไปสู่ความสำเร็จ เพื่อดำเนินการปักปันเขตแดนที่เหลือต่อไป และจะมีผลไปถึง พื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย 26,000 ตร.กม. ที่มีมูลค่ามหาศาล ด้วย ถ้าการเจรจา MOU43 สำเร็จ การเจรจา MOU44 ก็จะมีทางสำเร็จด้วย จะได้เป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลชุดนี้.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม