วิกฤตการณ์ช่องบก 2 บานปลาย ไม่ถอยกลับที่เดิม ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง และยุทธศาสตร์การทหาร พลิกมุมคิดถึงทางออกความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา ทั้งที่เพิ่งฉลองความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 75 ปีในวันที่ ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ เสนอมุมมองตรงกับวัน เวลา ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อแก้ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาโดย อาจารย์สุรชาติ ได้พาย้อนกลับไปสู่อดีตยุควิกฤตการณ์ช่องบก เป็นสมรภูมิใหญ่กองทัพไทยปะทะกับกองทัพเวียดนาม หรือกองกำลังผสมระหว่างเวียดนามกับกัมพูชา ในช่วงที่เวียดนามอยู่ในกัมพูชา นับเป็นหนึ่งในจุดรบใหญ่ชายแดนด้านตะวันออกวิกฤตการณ์ครั้งแรกมันเป็นช่วงปลายยุคสงครามเย็นพอยุคนายกฯ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มาพร้อมนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า พื้นที่ตรงนี้เป็นหนึ่งในความหวังพัฒนาร่วมทางเศรษฐกิจ ในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร เคยเสนอพัฒนาพื้นที่ตรงนี้เช่นกันพื้นที่ตรงนี้ไม่กลายเป็นเงื่อนไขสงครามถ้าไม่ถูกทิ้งคาราคาซัง มีแต่ภาพเชิงสัญลักษณ์ ที่ทหารไทยเข้าไปสร้างศาลาตรีมุขในพื้นที่ฝั่งกัมพูชา หน้าจั่วมี 3 ด้าน หันไปฝั่งไทย-ลาว-กัมพูชา และทางไทยเอาพระพุทธรูปไปตั้งหลังเกิดเหตุลาดตระเวนและยิงกัน 28 พ.ค.68 ตามด้วยศาลาตรีมุขถูกไฟไหม้ ปรากฏว่าทางกัมพูชาย้ายพระพุทธรูปออกไปก่อนที่ไฟไหม้ ปัจจุบันได้นำคืนแล้ว “ช่องบก 2” เกิดในรอบนี้น่าสนใจ เพราะเดิมไทยมีปัญหาชายแดนด้านเมียนมา หลายคนเชื่อมั่นในปีนี้น่าจะมีเหตุการณ์ปะทุเฉพาะจากชายแดนด้านเมียนมาแต่ก่อน 28 พ.ค. ได้เห็นการซ้อมรบทางบกของฝั่งกัมพูชากับจีน กัมพูชากับเวียดนาม มันเป็นสัญญาณบางอย่าง แต่ในแง่ความมั่นคงไม่คิดว่ามันมาปะทุที่ชายแดนไทย“ถามว่ามีการเมืองภายในแต่ละประเทศซ่อนอยู่หรือไม่ ทางกัมพูชามีผู้นำรุ่นใหม่ ในทางการเมืองปฏิเสธไม่ได้ที่ผู้นำต้องอาศัยกระแสชาตินิยมเป็นพื้นฐานจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้มีโอกาสปะทะกับประเทศเพื่อนบ้าน ตั้งแต่กรณีเผาสถานทูต ยังมีเหตุการณ์เป็นระยะ แต่ไม่เป็นข่าวใหญ่ แค่เป็นข่าวเฉพาะในพื้นที่กระแสชาตินิยมรอบนี้รองรับบทบาท ฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา ขึ้นมาเป็นผู้นำใหม่แทนพ่อ ส่วนฝั่งไทยกระแสชาตินิยม มีผลกระทบการเมืองมากน้อยแค่ไหน ต้องติดตามดู”ส่วนบทบาทของผู้นำระดับสูงที่เจรจากันนำไปสู่การคลี่คลายสถานการณ์ได้หรือไม่ วันนี้ต้องยอมรับว่าไม่ได้ โดยกัมพูชายุติไม่ยอมรับขอเจรจา และลากเอาพื้นที่ทับซ้อนทางบก เตรียมโยงไปสู่เส้นเขตแดนทางทะเลโดย 11-13 มิ.ย. กัมพูชาซ้อมรบทางทะเลกับจีน อยู่ห่างเกาะกูดของไทยราว 11 กม. และ 14 มิ.ย. มีประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Committee-JBC) ที่กัมพูชา ผมเห็นว่าไทยไม่ควรไปหากไปก็แค่พบปะสังสรรค์แล้วจบ เพราะกัมพูชามีจุดยืน “5 ไม่-1 ไป” คือ ไม่คุย-ไม่ถอน-ไม่เอาเอ็มโอยู-ไม่ปิดด่าน-ไม่รับแผนที่-ไปศาลโลก กัมพูชาพูดชัด JBC ไม่แตะปัญหาข้อพิพาททั้งหมด ไม่ถอนทหารออปชันเหลือทางเดียว คือสถานการณ์สงครามแต่ถ้าไม่สงคราม ไทยก็ถูกบีบไปขึ้นศาลโลก วันนี้สถานการณ์พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลต้องเตรียมและทำดังต่อไปนี้ คือ 1.คณะทำงานเฉพาะกิจด้านกัมพูชา 2.ฝ่ายการเมืองควรใช้เวที สมช.ชี้แจงนโยบายให้กองทัพทราบ โดยเฉพาะกองทัพบกที่เป็นเหล่าทัพคุมงานสนามโดยตรง 3.แนวโน้มเจรจา “เดดล็อก” มันถึงจุดตาย ไทยต้องเตรียมรับสภาพที่การเจรจาเป็นเดดล็อก4.ฝ่ายการเมืองต้องหาเวลาทำความเข้าใจประเด็นปัญหา เพราะโจทย์เส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา มีมิติซับซ้อนทางประวัติศาสตร์-มิติซับซ้อนในสถานการณ์ปัจจุบัน 5.รัฐบาลต้องพยายามแสดงให้เห็นว่าไทยพยายามติดต่อสื่อสารกับกัมพูชา แต่วันนี้กัมพูชาเล่นบท “อาการหูหนวกทางการทูต”6.รัฐบาลต้องเตรียม 4 มาตรการใหญ่ ทั้งทางการเมือง-ทางการทูต-ทางการทหาร-ทางเศรษฐกิจ 7.รัฐบาลต้องเตรียมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะถ้ากัมพูชายืนยันไปศาลโลก ไทยคงต้องเตรียมชี้แจง เพราะจุดยืนไทยชัดเจนไม่ไป เพราะไม่รับอธิปไตยศาลโลก นับแต่คดีปราสาทเขาพระวิหารในปี 25058.นายกฯ-รมว.กลาโหม-รมว.ต่างประเทศ ต้องแสดงบทบาทในการเปลี่ยนฝ่ายนำของสังคม เพื่อให้คนในประเทศมั่นใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น 9.รัฐบาลต้องทำความเข้าใจกับสังคม“รวมถึงโจทย์สำคัญ “ปัญหาจิตวิทยาการเมือง” ความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนกระแสชาตินิยมปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์อารมณ์คนไปไกลมากแทบถึงยอดภูเขา แต่รัฐบาลยังอยู่แค่ตีนเขา เกิดช่องว่างระหว่างอารมณ์ของสาธารณชนกับความเป็นจริงในความรู้สึกของรัฐบาลที่ดำเนินการอยู่”10.รัฐบาลต้องระวังปัญหาอาจลามไปสู่เส้นเขตแดนทะเล โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชาซ้อมรบกับจีนทางทะเล“ไทยควรทำหนังสือแจ้งสถานทูตจีนที่กรุงเทพฯ และสถานทูตไทยที่ปักกิ่ง ควรทำหนังสือยืนยันถึงความกังวลของรัฐบาลไทยต่อรัฐบาลจีน11.ต้องเร่งทำความเข้าใจกับรัฐบาลปักกิ่ง เพราะจีนเป็นผู้สนับสนุนอาวุธรายใหญ่ให้กัมพูชา และยืนยันว่าจีนควรวางตัวเป็นกลาง ไม่ควรแทรกแซงในเรื่องนี้โดยทางการข่าวมีข้อมูลว่าหลังซ้อมรบทางบกก่อนเกิดเหตุ 28 พ.ค. จีนทิ้งยุทโธปกรณ์ส่วนหนึ่งไว้ให้กัมพูชา ยุทโธปกรณ์เหล่านี้ คืออะไร มีจำนวนมากน้อยเพียงใด”และ 12.รัฐบาลต้องเร่งทำความเข้าใจและสร้างความกระจ่างว่าทั้งหมด “ไม่มีปัญหาทางการเมืองแอบแฝง ไม่มีผลประโยชน์ในชายแดนแอบแฝง”ข้อเสนอ 12 ประการสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างข้อเสนอเตรียมการสื่อสารทางการเมือง ทั้ง “สื่อสารภายในกับคนในบ้าน–สื่อสารกับรัฐบาลต่างประเทศ–สื่อสารภายนอกกับกลุ่มอาเซียน–สื่อสารกับเวทีสหประชาชาติ” เพราะไทยกำลังเผชิญกับ “สงครามภาพลักษณ์”ไทยกำลังโดนโลกล้อม โดยเฉพาะเมื่อกัมพูชาลากข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก โดยเหมือนมีจีนสนับสนุนในทางทหาร ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า สถานการณ์อยู่ในภาวะฝุ่นตลบ ข้อมูลเบื้องลึกหลายอย่างเราตอบไม่ได้ อย่างที่เห็นกัมพูชาซ้อมรบกับจีน ไม่รู้จีนคิดอย่างไรกับปัญหาตรงนี้ ไม่กล้าตอบทั้งหมดสถานการณ์ตึงเครียด แต่รัฐบาลถูกมองคล้ายไร้เสถียรภาพ มันนำไปสู่อะไรได้บ้าง ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า ความเปราะบางที่ใหญ่ที่สุด ถ้ามีการรบแล้วขยายตัวเป็นสงครามใหญ่ เงื่อนไขสงครามกลายเป็นปัจจัยทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล เพราะตัวรัฐบาลก็อยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพอยู่แล้วเมื่อเป็นเช่นนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถูกในอนาคตว่าผลกระทบทางการเมืองกับรัฐบาลจะเป็นอย่างไรสงครามกลายเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลอยู่ต่อหรือลงจากอำนาจเกิดขึ้นได้ทั้งสองอย่าง มันขึ้นอยู่กับทักษะและรับมือกับกระแสสงครามให้ได้ ฉะนั้นสงครามในทางการเมืองมันฟังแล้วดูหดหู่ ที่มันเป็นทั้ง “วิกฤติและโอกาสทางการเมือง” อยู่ที่ขีดความสามารถของบุคคลโจทย์อยู่ที่ขีดความสามารถของรัฐบาล 2 ฝ่าย ที่กำลังเผชิญต่อสู้เฉพาะหน้าในหลายมิติ ที่ยังไม่ถึงเป็น “จุดของสงคราม” อยู่ในจุดที่ไม่มี ใครตอบได้ว่าทั้งหมด “สำเร็จด้วยมาตรการทางการทูตหรือเผชิญกับปัญหาสงคราม”สถานการณ์เหมือนเดินมาถึงทาง 3 แพร่ง “ไปโต๊ะเจรจา กัมพูชา ไม่เอา-ไปศาลโลก กัมพูชาขอเดินทางนี้-อีกแยกหนึ่งเป็นสงคราม” ผมกลัวอย่างเดียวถนนเส้นนี้กลายเป็นบีบให้ไป “สนามรบ”รัฐบาลต้องเตรียมรับสถานการณ์ โดยระวังการแทรกกระแสทางการเมือง เพื่อหวังผลประโยชน์ ทำอย่างไรที่สงครามไม่กลายเป็นผลประโยชน์ทางการเมืองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งบางเหล่าทัพเพิ่งจัดซื้อเครื่องบินรบขนาดใหญ่ในช่วงเกาะกระแสสงคราม ช่วยไม่ให้คนค้าน แต่เบื้องหลังของไทยยังมีภาษีทรัมป์ ไทยต้องแบกตัวเองให้ได้ในทางเศรษฐกิจบนสภาวะหัวรถจักรที่เคยลากเศรษฐกิจไทยบางตัวดับ บางตัวติดไม่ดีอย่าให้สงครามกลายเป็นการฉวยโอกาส แต่ต้องจัดการสงคราม และกลุ่มสงครามไม่ให้ขยายตัวเกินกว่าที่ไทยแบกไม่ไหว สุดท้ายไทยแบกไม่ไหวอาจถูกบังคับไปศาลโลก.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม