ข้อพิพาทเรื่องปักปันเขตแดน “ระหว่างไทย และ กัมพูชา” กำลังเดินทางมาถึงจุดตึงเครียดสูงสุด เมื่อรัฐบาลกัมพูชาเลือกตัดสินใจ “เดินเกมรุกยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือศาลโลก” โดยไม่ผ่านกลไกความร่วมมือทวิภาคีที่เคยตกลงกันไว้ก่อนด้วยเหตุการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนพิพาทตั้งแต่สามเหลี่ยมมรกต ช่องบก จ.อุบลราชธานี ไปจนถึงกลุ่มปราสาทตาเมือนในพื้นที่ จ.สุรินทร์ “อันเป็นกลยุทธ์การดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลก” ที่เคยถูกใช้ได้ผลในอดีตกรณีเขาพระวิหาร กลายเป็นความท้าทายสำหรับฝ่ายไทยหากนิ่งเฉยไม่ตอบโต้อาจตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบอีกครั้งทำให้หลายฝ่ายมองว่า “กัมพูชาต่อยอดยุทธศาสตร์เก่าแก่มาใช้ซ้ำ” แต่คราวนี้คิดการใหญ่กว้างรุนแรงกว่าเดิมที่จะส่งผลร้ายต่อฝ่ายไทยที่ต้องตั้งรับเชิงรุกพลิกแก้เกมนี้อย่างไรนั้น รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช นายกสมาคมภูมิภาคศึกษาและอาจารย์สาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ บอกว่ากรณีที่กัมพูชาภายใต้การนำ “ฮุน มาเนต นายกฯ” เดินหน้าดันข้อพิพาทดินแดนสู่ศาลโลกนั้นถือเป็นยุทธศาสตร์ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าเพียงแต่รอจังหวะที่เหมาะสม “เพื่อให้ได้เปรียบ” เพราะมุ่งหวังขยายอาณาเขตพร้อมจะใช้ทุกวิธีที่เป็นประโยชน์ทั้งทางกฎหมาย การเมือง วัฒนธรรม และการทหาร ผลักดันเป้าหมายนี้ให้สำเร็จ ส่วนสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เพราะกัมพูชาประเมินแล้วว่า “รัฐบาลไทยไม่น่าจะตอบโต้เผ็ดร้อนรุนแรง หรืออาจจะมีท่าทีเงียบนิ่งไป” เมื่อฝ่ายไทยไม่โต้กลับ หรือโต้กลับได้น้อยก็จะถูกมองเหมือนเป็นการยอมรับโดยปริยาย กลายเป็นการเก็บรวบรวมหลักฐานสะสมแต้มข้อได้เปรียบไปเรื่อยๆ เพื่อใช้เป็นข้อต่อสู้ในศาลโลกเรื่องนี้ถ้าย้อนดู “มติ ครม.สมัยเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ” ก็มีหนังสือลงวันที่ 19 มี.ค.2567 แจ้งให้หน่วยราชการทุกหน่วยทราบ และให้ถือเป็นข้อปฏิบัติเคร่งครัดว่าในการทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศใดๆให้ทำข้อกำหนดไว้ว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล ICJ ในทุกเรื่องโดยให้เหตุผลว่าเพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติเมื่อไทยถอนตัวจากกระบวนการศาลโลก “กัมพูชาจะทำฝ่ายเดียวไม่ได้จุดนี้เป็นอุปสรรคสำคัญ” ส่วนการที่กัมพูชาเดินเกมข้ามเวทีทวิภาคีเลือกผลักดันเข้าสู่ “ศาลโลก” เพราะเป็นเวทีที่เคยได้เปรียบมาในศึกเขาพระวิหารตอกย้ำในส่วน “ผู้นำ 2 ประเทศสนิทสนมกัน” เรื่องนี้มองได้หลายแง่มุมหากเกิดความขัดแย้ง หรือต้องการความร่วมมือในการลงทุนร่วมกันสามารถต่อสายคุยกันได้โดยตรง “แต่ก็เป็นดาบสองคม” ถ้ากัมพูชามีเจตจำนงชัดว่า “จะเอาดินแดนการโจมตีในช่วงนี้ถือว่าเหมาะมาก” เพราะอีกฝั่งเป็นเพื่อนก็ไม่น่าจะตอบโต้รุนแรงทำให้กัมพูชาใช้วิธีพูดลักษณะไทยเงียบไม่ค้านไม่โต้แย้งก็เท่ากับเปิดช่องให้บันทึกข้อมูลเป็นหลักฐานไว้ใช้ต่อสู้ทางกฎหมายระหว่างประเทศที่ถนัด โดยเลือกตีจุดอ่อนเขยิบสถานะความได้เปรียบทางดินแดน การทูต และทางทหาร เพราะอย่าลืมว่ากรณีเสียเปรียบเขาพระวิหารก็อยู่คาบเกี่ยวรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯทั้งที่ช่วงนั้นรัฐบาลไทยน่าจะเจรจากันได้ และถ้าดูเฟซบุ๊กของฮุน เซน ก็ยังเชื่อมโยงเหตุปัจจุบันกับศึกเขาพระวิหาร ทำให้เห็นกัมพูชากำลังต่อยอดยุทธศาสตร์เดิมจากความได้เปรียบในอดีตขยับเกมรุกอีกครั้งย้อนมาประเด็น “กัมพูชาดันข้อพิพาทช่องบกขึ้นสู่ศาลโลก” โดยไม่ผ่านการเจรจาระดับทวิภาคีนับเป็นการข้ามขั้นตอนกลไกคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) คณะกรรมาธิการร่วมด้านความมั่นคง (GBC) และคณะกรรมาธิการร่วมด้านชายแดน (RBC) ซึ่งมีไว้เพื่อจัดการปัญหาเขตแดนระหว่างสองประเทศโดยตรงสวนทางคำแถลงการณ์ของรัฐบาลไทย “พยายามวางแนวทางให้เรื่องนี้คลี่คลายภายใต้กรอบสันติวิธี” เสนอคลี่คลายปัญหาภายใต้กรอบกลไกคณะกรรมการร่วมที่มีอยู่เพียงแต่ว่า “กัมพูชา” กลับเร่งผลักดันเข้าสู่รัฐสภาออกมติยื่นฟ้องศาลโลก สะท้อนถึงเจตนารมณ์ยกระดับข้ามขั้นตอนในทวิภาคีเข้าสู่เวทีที่คิดว่าได้เปรียบไทยอย่างไรก็ดี เมื่อไทยถอดตัวจากศาลโลก “กัมพูชาก็ไม่อาจดำเนินการได้” แต่สิ่งน่ากังวลหากไทยตอบโต้น้อยไป หรือปล่อยให้กัมพูชาประชาสัมพันธ์ฝ่ายเดียวไม่โต้กลับทุกประเด็นก็อาจเป็นข้อเสียเปรียบในระยะยาว เพราะการต่อสู้เรื่องเขตแดนเป็นเกมสะสมข้อมูลให้กัมพูชาใช้ประเด็นนี้มาเล่นซ้ำในอนาคตบนเวทีระหว่างประเทศได้“ผมเคยแสดงความเห็นให้รัฐบาลไทยตอบโต้กัมพูชาหลายประเด็นในเรื่องความมั่นคง เช่น กรณีใครยิงก่อนระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา หรือกรณีทหารกัมพูชาละเมิด MOU2543 ขุดคูเลต สร้างสิ่งปลูกสร้างทางทหารในพื้นที่ทับซ้อนเท่าที่เห็นกัมพูชาไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้กลับข้ามขั้นไปเข้าสู่ศาลโลกเลย” รศ.ดร.ดุลยภาค ว่าประเด็นสำคัญขณะนี้ “ไทยต้องเร่งดึงกัมพูชากลับมาเจรจา” เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงกรณีการรุกล้ำพื้นที่พิพาทอย่างโปร่งใส เพราะไทยมีหลักฐานทั้งภาพถ่าย และข้อมูลสนับสนุน แต่ที่ผ่านมาไทยอาจนิ่งเงียบเกินไป และไม่ได้โต้ตอบทันทีอย่างถึงพริกถึงขิงจนถูกตีความว่าเป็นการยอมรับโดยปริยายซึ่งจะยิ่งเสียเปรียบในระยะยาว ดังนั้นไทยควรปรับกลยุทธ์ใหม่ต้องตอบโต้อย่างเหมาะสม เพราะหากไทยไม่เข้าร่วมกระบวนการศาลโลก “กัมพูชา” อาจเดินเกมสร้างสถานการณ์ให้เกิดความขัดแย้งทางทหาร เพื่อนำเรื่องฟ้องต่อเวทีสหประชาชาติหรือใช้กลไกระหว่างประเทศอื่นๆ พร้อมสร้างภาพให้ไทยดูเหมือนเป็นผู้รุกรานลักษณะประเทศใหญ่รังแกประเทศเล็กเช่นนี้ไทยควรต้องตระหนักว่า “เรากำลังเผชิญกับยุทธศาสตร์กดดันหลายมิติจากกัมพูชา” แล้วหยุดแนวคิดที่ว่า “ไม่ต้องตอบโต้ปล่อยให้เงียบไปเดี๋ยวเขาก็หยุดเอง” เพราะยิ่งไม่ตอบโต้ปล่อยให้กัมพูชาพูดอยู่ฝ่ายเดียว “ข้อมูลไม่ถูกต้องหรือหลักฐานเท็จที่ถูกนำเสนอซ้ำๆ” อาจกลายเป็นหลักฐานที่ชอบธรรมมากขึ้นได้เหตุนี้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้เปิดโปงบนเวทีระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเวทีอาเซียน หรือเวทีระหว่างประเทศอื่นๆ เพื่อชี้ให้เห็นข้อกล่าวหาของกัมพูชามีความคลุมเครือต้องตรวจสอบใหม่ “เพียงแต่เรื่องนี้เราทำหรือไม่แล้วถ้าทำเพียงพอหรือยัง” ในส่วนกัมพูชาก็ต้องแสดงหลักฐานเชิงประจักษ์ก่อนจะผลักดันเรื่องเข้าสู่ศาลโลกสุดท้ายขอแนะนำข้อคิดเล็กน้อยว่า “รัฐบาลไทยมีจุดยืนชูธงสันติวิธี และสันติภาพ” ก็ถือเป็นแนวทางที่ประชาคมโลกให้การยอมรับ “ควรเดินหน้าบนเส้นทางนั้นต่อไป” ขณะเดียวกันก็ต้องมีกลยุทธ์ตอบโต้กัมพูชาอย่างเหมาะสม เพราะถ้าไม่ทำอะไรกัมพูชาจะไม่กลัว คงเดินหน้าไล่บี้รุกคืบดินแดนไทยเสียเปรียบไปเรื่อยๆฉะนั้นรัฐบาลไทยต้องมีมาตรการข่มขู่ ป้องปราม ด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์ โต้แย้งทางการทูตบนเวทีระหว่างประเทศชูธงสันติวิธี และสันติภาพ แสดงจุดยืนปกป้องอธิปไตยชายแดนแข็งขันจริงจัง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม