การส่งทหารเข้ามารุกล้ำอธิปไตยไทย อย่างไร้เหตุผลของ สองพ่อลูกผู้นำกัมพูชา กำลังสร้างความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ไทยต้องเริ่มปิดด่านชายแดนชั่วคราว น.อ.นพโรจน์ สิริปริยพงศ์ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี ใช้อำนาจกฎอัยการศึกในเขตพื้นที่จันทบุรี เฉพาะ อ.ขลุง อ.โป่งน้ำร้อน อ.สอยดาว มีหนังสือด่วนถึงผู้กำกับตรวจคนเข้าเมืองจันทบุรี สั่งปิดด่านผ่านแดนถาวร 2 ด่าน คือ ด่านบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน และ ด่านบ้านผักกาด ต.คลองใหญ่ อ.คลองใหญ่ จ.จันทบุรี ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ระงับนักท่องเที่ยวไทยที่จะเข้าไปในกัมพูชา และระงับนักท่องเที่ยวกัมพูชาที่จะเข้ามาในไทย ยกเว้น แรงงานชาวกัมพูชา ที่เข้ามาทำงานในไทย โดยให้การค้าขายระหว่างประเทศเป็นไปตามปกติชายแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กม. มีจุดผ่านแดน 18 จุด เป็นจุดผ่านแดนถาวร 8 จุด จุดผ่อนปรนการค้า 9 จุด จุดผ่อนปรนการท่องเที่ยว 1 จุด จะมีการปิดด่านเพิ่มเติมต่อไปตามสถานการณ์หรือไม่ ต้องดูสถานการณ์กันต่อไปเช้าวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน 2568 พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ได้ลงนาม คำสั่งกองทัพบกที่ 806/2568 เรื่อง การควบคุมการเปิด–ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยระบุว่า มีการเคลื่อนไหวผิดปกติตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา มีพลเรือนและกำลังติดอาวุธของฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ข้ามเข้ามาในราชอาณาจักรไทยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง และแสดงท่าทีที่พยายามให้เกิดความเข้าใจว่า พื้นที่ตนรุกล้ำเข้ามานั้นเป็นของกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงเคารพธงชาติ การติดอาวุธเข้ามาในพื้นที่ ทั้งที่ชัดเจนว่าดินแดนที่รุกล้ำเข้ามานั้น เป็นราชอาณาจักรไทยโดยสมบูรณ์(เห็นไหมครับ ผู้นำเขมร มีการวางแผนเป็นขั้นตอน หวังยึดครองดินแดนไทย โดยสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาเพื่อนำไปสู่ศาลโลก อย่างที่ผมได้วิเคราะห์ไปแล้ว)ฝ่ายไทยให้กำลังพลเข้าระงับเหตุ ชี้แจงเหตุผลให้ทราบ และผลักดันให้บุคคลดังกล่าวออกไป แต่พลเรือนและกำลังติดอาวุธฝ่ายกัมพูชาก็ยังพยายามที่จะรุกล้ำเข้ามาในราชอาณาจักร และแสดงท่าทียั่วยุโดยไม่หยุดยั้งอย่างเปิดเผย จนกระทั่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ กองทัพบกต้องใช้มาตรการเข้มข้น ในการผลักดันผู้รุกรานให้พ้นไปเสียจากราชอาณาจักรไทย โดยเฉพาะบริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลฯ ซึ่งถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ผลประโยชน์ของชาติ และบูรณภาพแห่งดินแดนที่ไม่อาจยอมรับได้แม้ รัฐบาลไทยและกองทัพบก จะได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่ง ระงับยับยั้งความตึงเครียดตามแนวชายแดนโดยใช้กลไกที่ตกลงกันไว้กับกัมพูชา แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองในเชิงบวกจากฝ่ายกัมพูชา ทั้งยังปรากฏว่า กัมพูชาได้เสริมกำลังพลและอาวุธและยุทโธปกรณ์เข้ามาประชิดชายแดนไทย–กัมพูชาอีกเป็นจำนวนมาก มีการจัดทำที่ม่ันสำหรับวางกำลังทหาร อันแสดงให้เห็นถึงความไม่ร่วมมือกับประเทศไทย และเป็นพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับสนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยเหตุผลดังกล่าว สภาความมั่นคงแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อ 6 มิถุนายน 2568 จึงมอบหมายให้กองทัพบกดำเนินการควบคุมการเปิด–ปิดจุดผ่านแดนทุกประเภทตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติได้ตามสถานการณ์ผมคิดว่า ยังมีอีกประเด็นที่น่าเป็นห่วง รัฐบาลต้องรีบตั้งทีมงานขึ้นมาบริหารจัดการนั่นก็คือ แรงงานกัมพูชากว่า 1 ล้านคน ที่กำลังทำงานอยู่ในประเทศไทย รัฐบาลต้องดูแลทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้มีปัญหาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง พึงจำไว้เลยแม้เขาจะเป็นเพื่อนตระกูลชินวัตร แต่ “อย่าวางใจฮุน เซน เด็ดขาด” เขาทำได้ทุกอย่าง.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม