เปิดหนังสือทุกเล่มที่นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว เขียน ก็ “หาเรื่อง” ได้ทุกครั้ง เล่มนี้ “รุกถอยหลัง” (สำนักพิมพ์ศยาม พิมพ์ พ.ศ.2544) ผมเจอ “เรื่องเล่าของกาน้ำ”หากินกับทะเล ทั้งอ่าวไทยอันดามันมากว่าสิบปี...ใส่ยี่ห้อตัวเองหัวเห็ดเจ็ดย่านน้ำ อ่านแล้วตกหล่น ไม่รู้เรื่อง คนทะเลที่หากินใต้น้ำ ไปได้ยังไง?นิพัทธ์พรเริ่มต้น...เคยสงสัยบ้างไหม? คนทะเลสมัยก่อนเขาเสาะหา ติดตาม จับปลาชนิดต่างๆมาขายกินกันด้วยวิธีเช่นไร? ทั้งที่มีเพียงเรือสำเภา เสาใบ เข็มทิศ ความชำนาญในการดูน้ำ ดูลม ดูเมฆ และปูมเรือแต่เหนือกว่านั้น คนทะเลรุ่นปู่ย่า ยังมีบางกลุ่มที่เขามีอินทรีย์ประสาทอันแหลมคม ฝึกปรือมาอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะกับคนไล่ตามฝูงปลาที่เรียกกันว่า “กาน้ำ”กาน้ำของคนประมง หมายถึงคนที่ฝึกมาได้ มีประสาทหูพิเศษ รับแรงสะเทือนใต้ผิวน้ำได้อย่างละเอียดประณีต สามารถแยกชนิดของปลา จำนวนปลา ความลึกตื้น ระยะทางจากผิวน้ำ ฯลฯในงานเขียน โลกสีคราม ของท่านมุ้ย หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล ก็ได้เคยบันทึกถึงความมหัศจรรย์ของกาน้ำชราคนหนึ่งไว้ หลังจากพยายามค้นหาซากเรือปากคลองวาฬ ด้วยวิธีการต่างๆอย่างแทบจะสิ้นหวังมากว่าเดือนจนหันมาใช้บริการพื้นบ้าน ทั้งที่ไม่ค่อยจะมั่นใจนัก เพราะนายซอกาน้ำปากคลองวาฬ เมืองประจวบ ที่ตัวดำเหมือนนิล แต่ผมขาวโพลนเหมือนภาพเนกาทีฟนั้น ดูท่าจะหูตึงชนิดตะโกนใส่หน้า ก็แทบจะไม่ได้ยินแต่นายซอคนนี้แหละ ที่มีประสาทสัมผัสเป็นเยี่ยม สามารถลอยเรือใช้ฟันกัดพายไม้จุ่มน้ำทะเล รับแรงสั่นสะเทือนจากกองทัพเพรียงเกาะซากเรือ จนค้นหาเรือจมก้นทะเลลึกกว่า 20 วาได้เป็นผลสำเร็จ“เพราะเสียงเพรียงมันดัง ยังกับเสียงจักจั่นในป่ายังมีเสียงปลาที่อยู่ตามซัง เสียงกุ้ง เสียงปู ถ้าหูเคยๆ ละก็ ดังสนั่นหวั่นไหวไปเลยครับ”คนทะเลคนหนึ่งบอกท่านมุ้ยอย่างนั้นวิธีการของพวกกาน้ำเป็นเรื่องที่มีเหตุผลพอสมควร เพราะสัตว์ทะเลทุกชนิดส่งเสียงร้องได้ ดังที่สามารถใช้ไฮโดรโฟนหรือไมโครโฟนใต้น้ำตรวจจับเสียงได้พวกกาน้ำสังเกตธรรมชาติของสัตว์ทะเลได้อย่างแม่นยำ จนพัฒนาเป็นวิชาชีพอันละเอียดอ่อนในกลุ่มชนของตน ดังเช่นนายซอ หูทิพย์ กาน้ำที่เก่งที่สุดแห่งปากคลองวาฬ ซึ่งเป็นชาวมุสลิมคนทะเลตั้งแต่เพชรบุรีไล่ลงไปถึงชายทะเลภาคใต้เคยรับรู้ตรงกันว่า หมู่บ้านแขกหลายแห่งคือแหล่งฝึกกาน้ำชั้นดี สามารถเอาหูแนบไม้ท้องเรือหรือดำน้ำฟังเสียงปลาใครอยากได้กาน้ำมาช่วยงาน ก็ต้องว่าจ้างกันด้วยราคาแพงลิบนิพัทธ์พรเล่าเรื่องลุงไหม บุญเรือง คนบ้านแหลมเพชรบุรี แต่ไปทำประมงอยู่ปราณบุรี ลงแรงไปเอากาน้ำชาวมุสลิมจากบางนาทับ เมืองสงขลา ด้วยเงื่อนไขขอสร้อยทอง เข็มขัดทอง มัดจำ กับส่วนแบ่งขายปลาร้อยละสิบหาปลาด้วยกันได้ไม่นาน กาน้ำคนนั้นก็หนีกลับสงขลา ลุงไหมตามทันที่สถานีรถไฟ เจรจาเอาเข็มขัดทองคืนเรื่องเล่าของกาน้ำ เกิดขึ้นราว พ.ศ.2485-6 เวลาผ่านเลยมา มีเรดาร์ โซนาร์ และซาวเดอร์ใช้ ทันสมัยไปหมดแล้ว วันนี้ อาชีพกาน้ำจึงเหลือเพียงความทรงจำเท่านั้นกฎของกาลเวลา เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้...ผมกำลังเป็นห่วง อาชีพนักการเมืองครับ...เขาเล่นกันโลดโผนพลิกแพลงทั้งมีในกติกาและนอกกติกา จนชาวบ้านคิดกันว่า เหมือนโจรมันปล้นเมืองผมอยู่มาจนแก่เต็มที ลืมไปเสียแล้ว บ้านเมืองเราเคยปลอดนักการเมืองมาแล้วกี่ครั้ง หากจะมีขึ้นอีกสักครั้ง ก็ไม่เห็นจะแปลกประหลาดแต่ประการใด ของมันเคยมือเคยเท้ากันนี่นา!กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม