หลังจากที่คดี "ป่วยทิพย์" ชั้น 14 รพ.ตำรวจ พลิกผันไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ทำไมทุกอย่างต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงไปหมด หมายรวมถึงบริบทของประเทศไทยด้วย เพราะที่ผ่านมา “ทักษิณ ชินวัตร” แม้จะไม่มีตำแหน่งเป็นทางการ แต่ทราบกันดีว่ามีบทบาทในการเคลื่อนประเทศแทบทุกอย่างโดยเฉพาะนโยบายและทิศทางที่รัฐบาลดำเนินการเมื่อทุกอย่างเปลี่ยนองคาพยพก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วยเมื่อศาลได้ลงมาดำเนินคดีที่สังคมเกิดความสงสัยว่ามีการใช้อภิสิทธิ์ชนไม่ยอมติดคุกแต่ไปนอนรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ โดยอ้างว่า เป็นไปตามคำสั่งแพทย์พูดง่ายๆคือไม่ได้ป่วยจริง!แม้ศาลจะตีตกคำร้องนี้ แต่เนื่องจากสังคมยังเคลือบแคลงสงสัย ศาลจึงขอดำเนินการเองตามอำนาจที่มีอยู่ คือขอไต่สวนเรื่องนี้เอง และนัดหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องส่งผลการดำเนินการแต่ละหน่วยไปให้ศาลนัดหมายวันที่ 13 มิ.ย.2568 ให้มีการไต่สวนเรื่องนี้เช่นกันทางด้านแพทยสภาก็มีมติให้ลงโทษแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 3 คน คือ ตักเตือน 1 คน และให้พักงาน 2 คนเนื่องจากไม่มีข้อมูลทางการแพทย์ที่ว่าคนไข้มีอาการขั้น “วิกฤติ” จนต้องไปรักษาที่ รพ.ตำรวจตรงไปตรงมาก็คือ ไม่เชื่อว่า “ป่วยจริง”วันนี้กำลังรอ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รัฐมนตรีสาธารณสุข ว่าจะมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ หากไม่เห็นด้วยกับมติแพทยสภาก็ส่งคืนเรื่อง เพื่อให้แพทยสภามีมติใหม่เพื่อรับรองมติดังกล่าวหากยืนยันเหมือนเดิมด้วยมติ 2 ใน 3 ทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามนั้นสรุปก็คือคดีนี้ทำให้ “ทักษิณ” ต้องเก็บตัวเงียบ ไม่มีความเคลื่อนไหว หรือแสดงความเห็น หรือขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเนื่องจากมีชนักติดตัว!ช่วยตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะช่วยใครที่ไหนได้เมื่อ “ทักษิณ” หยุดนิ่ง ทุกอย่างก็เลยนิ่งไปด้วยทั้งหมด มีแต่ปล่อยให้ขบวนการเดินหน้าไล่ถลุง “ภูมิใจไทย” ประเด็นฮั้ว สว.และลามไปถึงเรื่อง “ยุบพรรค” ด้วยนายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” ก็เลยไม่มีอะไรจะทำ หลังจากประชุมทีมงานกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรับมือกับผลกระทบด้านต่างๆและพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อช่วยกันสนับสนุนงบประมาณปี 2569 ที่จะประชุมสภาในวันที่ 28-31 พ.ค.2568 เป็นเวลา 4 วันระหว่างนี้จึงไม่มีอะไรจะทำ!เลยเดินทางไปต่างประเทศที่อังกฤษและโมนาโก ซึ่งน่าจะเป็นการไปแบบส่วนตัวเพราะไม่ได้ติดต่อกับรัฐบาลของแต่ละประเทศแต่อย่างใดที่อังกฤษก็ไปดูค่ายมวยไทยและชมห้างสรรพสินค้าว่ามีสินค้าไทยแค่ไหน จากนั้นก็จะเดินไปดูเอฟ 1 และติดต่อเพื่อให้ไทยเป็นเจ้าภาพก็มีแค่นั้นจริงๆใช้เวลาตั้งแต่ 21-25 พ.ค.2568นี่คือประเทศไทยที่ทุกอย่างสงบนอกจากปัญหาต่างๆที่รายล้อมโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังฝืดเคืองมากขึ้นเรื่อยๆโครงการต่างๆถูกทิ้งค้างเอาไว้แต่บางเรื่องก็ผลักดันให้เดินหน้าไม่ได้ เพราะขัดแย้งในรัฐบาล และปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ก็ยังไม่รู้ว่าจะเดินหน้าอย่างไร เพราะหัวขบวนยังติดหล่มอยู่เอาเป็นว่าบริบทประเทศไทยไม่มีอะไรให้เกิดความเชื่อมั่นได้เลยเพราะไม่มีผู้นำที่จะชี้แนวทางให้เดินไปข้างหน้าได้มิหนำซ้ำในรัฐบาลก็เกิดความขัดแย้งกันเอง แต่พยายามกลบเกลื่อนว่าไม่มีอะไรนี่คือความจริงที่น่าเจ็บปวดยิ่ง!"สายล่อฟ้า"คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม