หลังเหตุสยองขวัญอาคาร สตง.ถล่มวินาศสันตะโรผ่านไป แล้ว 48 วันศาลได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 17 คน ฝากขังผู้ต้องหาไปแล้ว 15 คนแยกเป็นกลุ่มผู้ออกแบบ 6 ราย, กลุ่มผู้ควบคุมงานก่อสร้าง 5 ราย และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างอีก 6 ราย“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าผู้ต้องหาทั้ง 3 กลุ่มมีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันแต่ข้อกล่าวหาทั้ง 3 กลุ่มจะหนักเบาไม่เท่ากันหนักที่สุด น่าจะเป็นกลุ่มผู้รับจ้างควบคุมงานหนักรองลงไป คือ กลุ่มผู้รับจ้างออกแบบอาคารหนักน้อยลงไปอีกคือ กลุ่มผู้รับเหมา ก่อสร้างอาคารกลุ่มนี้บริษัทอิตาเลียนไทยฯ ซึ่งรับผิดชอบเจาะเข็มฐานราก น่าจะเบา กว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯ ซึ่งรับผิดชอบก่อสร้างตัวอาคาร“แม่ลูกจันทร์” มองแยกส่วนถึงตัวบุคคลที่ถูกดำเนินคดีกลุ่มผู้บริหารบริษัทอิตาเลียนไทยฯโดนเช็กบิล 3 คนกลุ่มผู้บริหารไชน่าฯ เรลเวย์ฯ โดนเช็กบิล 3 คนเท่ากันต่างกันตรงบริษัทอิตาเลียนไทยฯ เป็นผู้บริหารทั้ง 3 คนแต่บริษัท ไชน่า เรลเวย์ฯเป็นผู้บริหาร (ชาวจีน 1 คน) และวิศวกรคนไทยอีก 2 คน“แม่ลูกจันทร์” ประเมินว่า นายเปรมชัย กรรณสูต อดีตประธานอิตาเลียนไทยฯ น่าจะเบาที่สุดในบรรดาผู้ต้องหาที่ถูกศาลออกหมายจับทั้ง 17 คนเพราะช่วงปี 2561 จนถึงปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงก่อสร้างอาคาร สตง. “นายเปรมชัย” เจอคดีเสือดำ ต้องลาออกจากประธานบริษัทอิตาเลียนไทยฯโดยเฉพาะช่วงปี 2564 ถึงปลายปี 2566 เจ้าสัวเปรมชัยถูกจำคุก 2 ปี 14 เดือนดังนั้น ความเกี่ยวข้องโครงการสร้างตึก สตง.จึงน้อยมากๆ หรือแทบไม่มีเลยแต่ “แม่ลูกจันทร์” คันคะเยอหัวใจที่หมายจับผู้ต้องหาทั้ง 17 ราย ไม่มีเจ้าหน้าที่ สตง. (หรืออดีตเจ้าหน้าที่ สตง.) ติดร่างแหแม้แต่คนเดียวทั้งๆที่โดยหลักความเป็นจริง สตง. ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการต้องร่วมรับผิดชอบเหตุตึกพังถล่ม 50 เปอร์เซ็นต์เนื่องจากมีหลักฐานเกี่ยวโยงถึง สตง. 5 ประเด็นคือ...ข้อที่ 1, การที่อดีตผู้บริหาร สตง. สั่งเปลี่ยนที่ก่อสร้างสำนักงาน 2 ครั้ง ต้องเสียค่าจ้างออกแบบซํ้า 2 รอบ ทำให้งบประมาณสูญเปล่าก้อนโตข้อที่ 2, การตีโป่งงบก่อสร้างอาคาร สตง.จาก 1,500 ล้านบาท เป็น 2,130 ล้านบาท โดยไม่มีเหตุผลจำเป็นข้อที่ 3, การสั่งแก้ไขแบบก่อสร้างภายหลังถึง 9 ครั้ง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่อาคารพังถล่ม ทำให้เงินหลวงเสียหายเกือบพันล้านบาท และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 80 รายข้อที่ 4, สตง.ตรวจรับงานไปแล้ว 22 งวด จ่ายเงินค่าก่อสร้างไปแล้ว 966 ล้านบาท ทั้งๆที่งานคืบหน้าเพียง 33 เปอร์เซ็นต์ จากที่กำหนดในสัญญาต้องคืบหน้า 80 เปอร์เซ็นต์ถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างร้ายแรง!!ข้อที่ 5, คณะกรรมการตรวจรับของ สตง.ได้แจ้งผู้บริหาร สตง. ให้สั่งยกเลิก สัญญาก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 มกราคมแต่ผู้บริหาร สตง. ยังไม่สั่งยกเลิกสัญญาก่อสร้าง จนเกิดเหตุตึกพังถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคมเท่ากับแช่ปัญหา (อันตราย) ไว้อีกกว่า 2 เดือนหากผู้บริหาร สตง. รีบบอกยกเลิกสัญญาเสียตั้งแต่แรก ความเสียหายต่อชีวิตคนจำนวนมาก และความเสีย หายต่องบประมาณแผ่นดินก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างน่าเศร้าสลดหดหู่ใจสรุป ถ้า สตง. ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย...ก็ประหลาดนะโยม.แม่ลูกจันทร์คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม