ดีเอสไอเผยผลสอบปากคำ “สมชาย” วิศวกรผู้จัดการโครงการก่อสร้างตึก สตง.ถล่ม หลังสอบมาราธอนกว่า 8 ชม.ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก ระบุรับรู้รายละเอียดเอกสารแก้ไขแบบทั้ง 9 ฉบับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องรับทราบการทำงานตามขั้นตอน ก.ม. แฉอีก บ.ไชน่าฯคว้างานก่อสร้างเหมาช่วง “รพ.ตำรวจ” มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ด้าน ผอ.สปภ.กทม. เผยยอดค้นหาผู้ประสบภัยในซากตึกอีก 8 คน แต่เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลรับแจ้งความจาก สน.บางซื่อ เชื่อว่ายอดผู้สูญหายในซากอาคารมี 104 คนหรือมากกว่านั้น ทำให้ภารกิจค้นหายังไม่ยุติเพราะเสี่ยงที่ต้องทิ้งผู้สูญหายเอาไว้ ด้านทีมพนักงานสอบสวนเข้าเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุต่อเนื่อง เน้นบริเวณผนังปล่องลิฟต์พนักงานทั่วไปและเสาคู่หน้าตึก สตง. นำชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ไปทดสอบในห้องแล็บหาค่ากำลังอัดประลัยกรณีการสืบสวนคลี่คลายคดีอาคารกำลังก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่มเมื่อวันที่ 28 มี.ค. หลังเหตุแผ่นดินไหวทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายอยู่ในซากตึกจำนวนมาก ขณะที่การสืบสวนสาเหตุการถล่มโดย 2 หน่วยงานคือกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ เร่งรวบรวมหลักฐานดำเนินการทุกความผิด แต่เวลาผ่านมา 1 เดือนเศษ ยังไม่สามารถจับกุมผู้อยู่เบื้องหลังการทำให้ตึกถล่ม นอกจากการจับกุม 4 ผู้ต้องหาในคดีนอมินี บ.ไชน่าเรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เท่านั้น ล่าสุด “ดำรง พุฒตาล-ต๊ะ นารากร” 2 พิธีกรดังเข้าแจ้งความดำเนินคดี ผู้ว่าการ สตง. คนปัจจุบันและอดีตผู้ว่าการ สตง.คนเซ็นสัญญาก่อสร้างตึกถล่ม 2 ข้อหาทั้งกระทำการโดยประมาททำให้มีผู้เสียชีวิต และความผิดตาม ม.157 ตามที่เสนอข่าวไปนั้นความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการค้นหา ผู้สูญหายในซากอาคารถล่ม โดยเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 3 พ.ค. ที่กองอำนวยการร่วม สน.บางซื่อ ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์สำนักเขตจตุจักร พ.ต.อ.ธิติพงศ์ ภิวัฒน์วุฒิกุล รอง ผบก.น.2 ประชุมทีมพนักงานสอบสวนชุดเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอาคาร สตง.ถล่ม โดยพนักงานสอบสวนจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชุดสอบสวน บก.น.2 ทีมวิศวกรกรมโยธาธิการและผังเมือง กองพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมโครงสร้างจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ เข้าประชุมติดตามความคืบหน้าการจัดเก็บหลักฐานที่เป็นวัสดุก่อสร้างในที่เกิดเหตุ โดยทีมวิศวกรกรมโยธาฯ ประสานอายัดชิ้นส่วนเสาอาคารและผนังปล่องลิฟต์ รวมทั้งชิ้นส่วนเหล็กบริเวณดังกล่าวเพิ่มเติมเพื่อจะนำไปตรวจสอบทางวิศวกรรมต่อไปจากนั้นพนักงานสอบสวนชุดเก็บหลักฐานทั้งหมด เข้าจุดเกิดเหตุเก็บหลักฐานเพิ่มบริเวณผนังปล่องลิฟต์สำหรับพนักงานทั่วไป และคู่เสาด้านหน้าอาคาร สตง. เก็บชิ้นส่วนคอริ่งปูนและเหล็กจุดนี้ไปตรวจสอบมาตรฐานของโครงสร้าง โดยเก็บชิ้นส่วนที่สมบูรณ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 7.5 ซม. สูง 20-30 ซม. ไม่ต่ำกว่า 3 ชิ้น ตรวจทดสอบในห้องแล็บหาค่ากำลังอัดประลัย โดยเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นเสาปูนหรือผนังปูน ต้องมีค่าตรวจอยู่ที่ 500 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร (ksc) หากต่ำกว่าค่าดังกล่าวถือว่าตกเกณฑ์มาตรฐานขณะที่การค้นหาร่างผู้สูญหายในซากอาคาร สตง. เข้าสู่วันที่ 37 เจ้าหน้าที่กู้ภัยและผู้เชี่ยวชาญจากหลายหน่วยงานยังคงระดมกำลังกันค้นหาผู้ติดค้างคาดว่าจะอยู่ที่บริเวณชั้นใต้ดินของซากอาคาร สตง. โดยใช้เครื่องจักรหนัก และชุดค้นหาเดินเท้า รวมถึงทีมกล้องโดรนจากมุมสูงสลับหมุนเวียนกันทำงานอย่างต่อเนื่องต่อมาเวลา 10.30 น. นายสุริยชัย รวิวรรณ ผอ.สำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกรุงเทพมหานคร (สปภ.กทม.) แถลงความคืบหน้าในการค้นหาผู้สูญหายและการตรวจพิสูจน์ยืนยันตัวตนผู้เสียชีวิตว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค. พบร่างผู้เสียชีวิต 3 ร่างในสภาพสมบูรณ์ ระบุเพศได้ 1 ร่าง เป็นหญิง 1 คน ไม่สามารถระบุได้ 2 ร่าง และยังพบชิ้นส่วนมนุษย์เพิ่มอีก 22 ชิ้น การค้นหาบริเวณทางเชื่อมที่คาดว่าผู้ประสบภัยจะวิ่งออกจากชั้น 1 มุ่งหน้าไปด้านหลังฝั่งอาคารจอดรถขณะนี้ยังลงไปไม่ถึงด้านล่างจุดดังกล่าว ต้องเจาะพื้นลงไปอีก 2 เมตร เนื่องจากชั้นใต้ดินสูง 4 เมตร ล่าสุดเจาะลงไปได้เพียง 2 เมตรเท่านั้น คาดการณ์ว่าด้านล่างจะเป็นทางเชื่อมระหว่างอาคาร สตง.กับลานจอดรถ แต่ลักษณะการเกิดเหตุอาคารถล่มกดทับลงมายังพื้นด้านล่าง ทำให้ชั้นที่ 1 จะสูงห่างจากชั้นใต้ดินไม่เกิน 1 เมตร หรืออาจจะสูงเพียงครึ่งเมตร จากการประเมินคาดการณ์ว่าจะมีผู้ประสบภัยเพิ่มเติมนายสุริยชัยกล่าวอีกว่า สำหรับจำนวนผู้ประสบภัยจาก 103 คน พบแล้วเสียชีวิต 83 คน บาดเจ็บ 9 คน อยู่ระหว่างค้นหาอีก 11 คน เมื่อวันที่ 2 พ.ค.พบอีก 3 คน เท่ากับตอนนี้เหลือผู้สูญหาย 8 คนที่อยู่ระหว่างค้นหา แต่เมื่อนำข้อมูลเปรียบเทียบกับการรับแจ้งความจาก สน.บางซื่อ ว่า ได้รับแจ้งเพิ่มเติมตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม 4 คน ค้นหาจนพบตัวเลขทั้งหมดอาจมี 104 คน หรือมากกว่านั้นทำให้การค้นหาต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องไม่สามารถยุติได้ แม้จะพบร่างคนที่สูญหายตามตัวเลขทั้งหมด เพราะหากยกเลิกภารกิจมีความเสี่ยงที่ต้องทิ้งผู้สูญหายเอาไว้ เป้าหมายเจ้าหน้าที่ทุกคนคือช่วยเหลือนำทุกคนที่ติดอยู่ใต้ซากอาคารออกให้หมด เพื่อส่งมอบร่างให้กับญาติผอ.สปภ.กทม.กล่าวยืนยันว่า จะยังไม่หยุดปฏิบัติการจนกว่าจะเข้าเคลียร์ได้ทุกพื้นที่ จะใช้เวลาดำเนินการไม่เกิน 1 สัปดาห์ ส่วนการขนย้ายซากอาคารเมื่อวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาขนย้ายจำนวน 204 เที่ยว จุดที่ทิ้งซากอาคารได้ตรวจซ้ำต่อวัน 2 รอบ คือเช้าและเย็น ใช้สุนัข k9 ค้นหา ช่วงเช้าที่ผ่านมาพบชิ้นส่วนมนุษย์เพิ่ม 2 ชิ้น และช่วงเย็นพบ 2 ชิ้น รวมชิ้นส่วนที่หลุดไป 4 ชิ้น เป็นชิ้นส่วนที่อยู่ใน 22 ชิ้นที่แจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้กระทั่งเวลา 18.00 น. ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์สำนักงานเขตจตุจักร สรุปยอดความคืบหน้าภารกิจกู้ภัยคนงานที่ประสบภัย และผู้สูญหายจากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหลังใหม่พังถล่ม ณ เวลา 18.00 น. วันที่ 3 พ.ค. ว่า มีจำนวนผู้ประสบเหตุ 103 คน แยกเป็นผู้เสียชีวิตที่ได้รับการตรวจยืนยันอัตลักษณ์บุคคลเบื้องต้น 86 คน ผู้บาดเจ็บ 9 คน และยังมีผู้สูญหายอยู่ระหว่างค้นหา 8 คนวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 กรณีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 หรือคดีนอมินี บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงผลการสอบสวนนายสมชาย ทรัพย์เย็น วิศวกรผู้จัดการโครงการภายใต้กิจการร่วมค้า PKW ในฐานะผู้ควบคุมงานปรากฏชื่อในการลงนามให้ปรับแก้ Core Lift ว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ค.ได้สอบปากคำนายสมชาย ซึ่งมีบทบาทเป็นผู้จัดการโครงการ กว่า 8 ชม.เป็นการให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการสอบสวนอย่างมาก มีการอธิบายตามหลักการทำงานก่อสร้างโครงการต่างๆ มีผู้เกี่ยวข้อง 4 กลุ่มคือ 1.เจ้าของงาน 2.ผู้ออกแบบ 3.ผู้รับเหมาก่อสร้าง และ 4.ผู้ควบคุมงานคณะพนักงานสอบสวนคดีนอมินีระบุต่อว่า ดังนั้นเฉพาะในส่วนของผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ควบคุมงานย่อมพูดคุยประสานงานกัน เพราะถ้าหน้างานการก่อสร้างมีปัญหาต้องแจ้งผู้ควบคุมงาน และเนื่องด้วยผู้ควบคุมงานบทบาทคือการรับจ้างทำหน้าที่ควบคุมงานให้ผู้ว่าจ้าง ฉะนั้น การเซ็นชื่อลงนามในเอกสารการควบคุมงานก่อสร้างเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ แต่นายสมชายไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทั้งหมด การจะแก้ไขแบบได้ต้องถูกตรวจพบก่อนว่าเหตุใดต้องมีการแก้ไขแบบ ต้องเสนอตามลำดับชั้น ผู้ว่าจ้างต้องรับทราบเพื่ออนุมัติ จึงได้ก่อสร้างตามแบบที่ปรับแก้ไขให้เป็นไปตามข้อกำหนดกฎหมาย และระหว่างการก่อสร้างต้องควบคุมงานเพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามแบบที่กำหนดไว้ นายสมชายยอมรับว่ารู้รายละเอียดเอกสารแก้ไขแบบทั้ง 9 ฉบับ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องรับทราบตามการทำงานอยู่แล้วสำหรับการแก้ไขผนังปล่องลิฟต์ (Core Lift) และผนังรับแรงเฉือน (Core Wall) หรือส่วนใดก็ตาม นายสมชายให้ข้อมูลว่า ทุกคนภายใต้สัญญาโครงการต้องรับรู้รับทราบหมด เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น การปรับแก้ผนังปล่องลิฟต์บางจุดเกิดขึ้นในช่วงการบริหารสัญญาระหว่างดำเนินการก่อสร้าง ผู้รับจ้างก่อสร้างพบว่าแบบงานโครงสร้างขัดกับแบบงานสถาปัตยกรรมภายใน กล่าวคือ ขนาดผนังปล่องลิฟต์บริเวณทางเดินเมื่อรวมกับวัสดุตกแต่งตามแบบทำให้ทางเดินมีความกว้างไม่เป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ.2543) ออกตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบของทางราชการ เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยหลายฝ่าย ต้องร่วมกันพิจารณา มิใช่ใครคนใดคนหนึ่งมีอำนาจตัดสินใจทั้งหมด กรณีนายสมชายมีเอกสารเกี่ยว ข้องจำนวนมากที่ต้องลงนามเซ็นรับรองไม่เพียงแต่เอกสารปรับแก้แบบ แต่ด้วยความที่เจ้าตัวคือผู้จัดการโครงการก่อสร้างจะมีพนักงานเตรียมเอกสารให้เซ็น เช่น แบบรายงานการควบคุมงานก่อสร้างประจำสัปดาห์ และแบบรายงานการควบคุมงานก่อสร้างประจำเดือนคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเผยด้วยว่า ส่วนกรณีนายสมเกียรติ ชูแสงสุข ประธานคลินิกช่าง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ซึ่งถูกแอบอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นเป็นผู้ควบคุมงานตึก สตง. ภายใต้กิจการร่วมค้า PKW นายสมชายให้การว่า ไม่เคยเจอนายสมเกียรติที่ไซต์งานก่อสร้าง อีกทั้งระหว่างบทบาทนายสมชายกับนายสมเกียรติ หากดูตามตำแหน่งในเอกสารดูแลรับผิดชอบกันคนละส่วน เพราะนายสมชายคือผู้จัดการโครงการ หากมีปัญหาใดระหว่างการก่อสร้างก็ต้องเข้าไปตรวจสอบ สำหรับประเด็นที่นายสมเกียรติถูกแอบอ้างชื่อและปลอมลายเซ็นเป็นผู้ควบคุมงานตึก สตง. เรื่องนี้จะทำให้เห็นความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวที่ได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้น คือ 1.เจ้าของลายเซ็นที่ถูกปลอมในเอกสารถือเป็นผู้เสียหาย และ 2.สตง. ในฐานะที่ถูกนิติบุคคลนำลายเซ็นในเอกสารมาใช้ ดังนั้น ปัจจุบันเรื่องการถูกปลอมลายเซ็นทั้งกรณีของนายสมเกียรติ และพยานวิศวกรรายอื่นๆยังอยู่ระหว่างการส่งตรวจพิสูจน์เรื่องลายเซ็น เพื่อใช้พิจารณาความผิดทางคดีอาญาต่อไปทั้งนี้ จากรายงานของกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) พบว่า บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ได้คว้างานรับเหมาช่วงในโครงการหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มูลค่าเกือบ 600 ล้านบาท โครงการดังกล่าวคือรพ.ตำรวจ เป็นการรับเหมาช่วงมาจากบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ระดับประเทศอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่