นราธิวาสเดือด โจรใต้อำมหิตล่าสังหารเหยื่อบริสุทธิ์ 2 ราย สังเวย 4 ศพ รายแรก 6 คนร้ายควบ จยย. 3 คัน บุกกราดยิงถล่มบ้านชาวไทยพุทธ 3 หลัง ขณะนั่งล้อมวงดูทีวีกันอยู่ในบ้านเสียชีวิต 3 ศพ บาดเจ็บ 2 คนสุดสลดเหยื่อกระสุนมีทั้งคนแก่และเด็กหญิงใบ้วัย 9 ขวบ อีกรายลูกชายพาแม่วัยชราตาบอดนั่งซ้อนท้ายรถ จยย.กลับจากหาหมอ ถูกคนร้ายไล่ตามประกบยิงร่วงคาถนน แม่เสียชีวิต ส่วนลูกชายเจ็บสาหัส เชื่อฝีมือแนวร่วมในพื้นที่สร้างสถานการณ์ไล่ล่าปลิดชีพเป้าหมายอ่อนแอไม่มีทางต่อสู้ มทภ.4 ประณามผู้ก่อเหตุป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม สั่งเปิดปฏิบัติการเชิงรุกไล่ล่าคนร้าย ยกระดับมาตรการความมั่นคงเข้มข้นสูงสุด อีกเหตุการณ์ลอบวางบึมต้อนรับคณะ มท.3 “ซาบีดา ไทยเศรษฐ์” เปิดงานมหกรรมตาดีกาสัมพันธ์ เดชะบุญไม่มีผู้ได้รับอันตรายสถานการณ์ไฟใต้ทวีความรุนแรงต่อเนื่อง กลุ่มคนร้ายล่าสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ 2 ราย สังเวย 4 ศพ รายแรกเปิดเผยเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 3 พ.ค. พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.รมน.ภาค 4 พล.ต.ต.ไมตรี สันตยากุล ผบก.ภ.จ.นราธิวาส น.อ.สันติ เกตุศรีพงษ์ศา ผบ.ฉก.นย.ทร. นายอนิรุทร บัวอ่อน ปลัดจังหวัดนราธิวาส นายกฤษฎา สุขสบาย นอภ.ตากใบ พ.ต.อ.อัสรี ต่วนเพ็ง ผกก.สภ.ตากใบ สนธิกำลังนำเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ไปตรวจสอบเหตุคนร้ายใช้ปืนสงครามยิงถล่มใส่บ้านเรือนชาวไทยพุทธ 3 หลัง ที่บ้านปลักปลา หมู่ 5 ต.โฆษิต อ.ตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 3 ศพ ประกอบด้วยนายดำ จันทร์คง อายุ 74 ปี ด.ญ.สสิตา จันทร์คง อายุ 9 ขวบ พิการเป็นใบ้ และนายแดง ตุนาสุข อายุ 59 ปี มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 คน คือ นายเชาว์ จันทร์คง อายุ 44 ปี พ่อของ ด.ญ.สสิตา และนายภาคีไนย รังเสาร์ อายุ 29 ปี เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.38 น. คืนวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมาสอบถามนางเฉลิมศรี เรือนสังข์ อยู่บ้านเลขที่ 1/3 แม่ของ ด.ญ.สสิตา หนึ่งในผู้เสียชีวิต และเป็นภรรยาของนายเชาว์ หนึ่งในผู้ได้รับบาดเจ็บ เผยว่า ขณะเกิดเหตุในบ้านอยู่ด้วยกัน 5 คน ตนนั่งอยู่ข้างลูกสาว ส่วนสามีนั่งอยู่กับนายแดงและนายภาคีไนย เพื่อนบ้านที่เข้ามาดูโทรทัศน์อยู่ในบ้านด้วยกัน ได้มีกลุ่มคนร้าย 6 คน ขี่รถ จยย.มาด้วยกัน 3 คัน คันแรกมาจอดหน้าบ้านตน คนร้ายที่นั่งซ้อนท้ายใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงถล่มเข้ามาในบ้านนับสิบนัด กระสุนถูกลูกสาวและนายแดงเสียชีวิต ส่วนสามีกับนายภาคีไนยได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ตนรอดพ้นคมกระสุนได้อย่างฉิวเฉียดส่วนรถ จยย.คนร้ายคันที่สองไปจอดหน้าบ้านเลขที่ 1/4 ที่อยู่ติดกัน มีนายดำ จันทร์คง ผู้ตายอีกคนอยู่ในบ้านคนเดียว ได้ยินเสียงปืนวิ่งออกมาจากบ้านถูกคนร้ายใช้ปืนเอ็ม 16 กราดยิงใส่ร่างหลายนัด กระสุนปืนเข้าที่ลำตัวและแขนซ้ายจนหัก ล้มทรุดเสียชีวิตอยู่บริเวณหน้าบ้าน ขณะที่รถ จยย.คนร้ายคันที่สามไปจอดหน้าบ้านเลขที่ 1/6 ที่อยู่ใกล้กันอีกหลัง คนซ้อนท้ายใช้ปืน 9 มม.กระหน่ำยิงเข้าไปในบ้านหลายนัด ขณะนั้นไม่มีคนอยู่ในบ้านทำให้ไม่มีใครได้รับอันตราย หลังก่อเหตุกลุ่มคนร้ายพากันขี่รถหลบหนีไปทาง อ.สุไหงโก-ลกจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุจุดแรกบ้านเลขที่ 1/3 มีรอยกระสุนปืนที่ฝาผนังบ้านและรอยกระสุนปืนที่ทะลุประตูไม้เข้าไปในบ้าน พบปลอกกระสุนปืนที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน 10 ปลอก จุดที่สองหน้าบ้านเลขที่ 1/4 เป็นบ้านของนายดำที่ถูกยิงเสียชีวิตหน้าบ้าน พบปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่ 8 ปลอก และจุดที่สามหน้าบ้านเลขที่ 1/6 พบปลอกกระสุนปืน 9 มม.ตกอยู่ 9 ปลอก เก็บรวบรวมทั้งหมดไว้เป็นหลักฐานต่อมา พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่ 4 นำคณะเดินทางไปยังวัดสิทธิสารประดิษฐ์ หรือวัดโคกยาง เพื่อพบปะเครือญาติและชาวบ้านที่มาช่วยเตรียมจัดงานศพนายแดง ตุนาสุข และที่วัดโคกม่วง เตรียมจัดงานศพ ด.ญ.สสิตา จันทร์คง และนายดำ จันทร์คง ทั้งคู่เป็นเครือญาติกัน ทั้งนี้แม่ทัพภาคที่ 4 แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มอบเงินจำนวนหนึ่งช่วยเหลืองานศพทั้ง 3 ราย ก่อนเดินทางกลับ พล.ท.ไพศาลกล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมาได้กำชับถึงมาตรการป้องกัน เป็นห่วงว่าการก่อเหตุต่อผู้นำศาสนาถูกบิดเบือนว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ จนนำไปสู่การก่อเหตุต่อพี่น้องไทยพุทธ เน้นย้ำเรื่องการนำเอาผู้นำท้องที่ต่างๆ ชรบ.มาร่วมกันรักษาความปลอดภัย ทั้งการเดินทางและกิจกรรมที่ล่อแหลมต่างๆก็ยังเกิดช่องว่าง ให้ฝ่ายปกครองร่วมกับตำรวจทหารในแต่ละพื้นที่ให้การคุ้มครองมากขึ้นแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวประณามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม ป่าเถื่อน และไร้ความเป็นมนุษย์อย่างสิ้นเชิง ผู้ก่อเหตุลงมือกับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีทางสู้ โหดเหี้ยมมาก เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยเร่งติดตามผู้ก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้านี้ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์บัญชาการทางยุทธวิธีขึ้นมาพร้อมเปิดปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อควบคุมสถานการณ์ในพื้นที่ สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้หลายรายและขยายผลเชื่อมโยงไปยังกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ผลจากการรุกหนักของเจ้าหน้าที่ ผู้ก่อเหตุรุนแรงจึงตอบโต้ จากนี้จะเร่งให้ศูนย์บัญชาการทางยุทธวิธีติดตามไล่ล่าผู้ก่อเหตุ ปิดทุกช่องทางการหลบหนี และตรวจค้นทุกแหล่งที่คาดว่าจะเป็นที่พักพิงหรือซ่อนตัว พร้อมยกระดับให้ใช้มาตรการด้านความมั่นคงเข้มข้นที่สุด เจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความระมัดระวังตนเองและดูแลกลุ่มเปราะบาง รับมือกับการตอบโต้ตลอด 24 ชม. จะไม่ยอมให้การกระทำอันป่าเถื่อนมาทำลายความสงบสุขของประชาชนเด็ดขาดอีกรายก่อนหน้านี้ช่วงบ่ายวันที่ 2 พ.ค. พ.ต.อ.วีระศักดิ์ เพอแสละ ผกก.สภ.จะแนะ จ.นราธิวาส สนธิกำลังตำรวจทหารไปตรวจสอบเหตุคนถูกยิงเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บบนถนนในหมู่บ้านไอร์บือแต หมู่ 4 ต.ช้างเผือก พบรถ จยย.ยามาฮ่า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ล้มตะแคงอยู่กลางถนน มีศพนางสง่า แสงย้อย อายุ 76 ปี หญิงชราตาบอด นอนจมกองเลือด มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืน 9 มม.เข้ากลางหลังและซี่โครงขวารวม 2 นัด ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 คน มีชาวบ้านช่วยเหลือนำส่ง รพ.จะแนะ ทราบชื่อนายทัศไนย์ ตั้งคง อายุ 50 ปี ลูกชายผู้ตาย ถูกยิงที่ชายโครงขวา 1 นัด อาการสาหัส ในที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืน 9 มม.ตกอยู่บนถนน 2 ปลอก เจ้าหน้าที่เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐานสอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุ นายทัศไนย์ ขี่รถ จยย.พาแม่นั่งซ้อนท้ายออกจากบ้านเดินทางไปหาหมอตามนัดที่ รพ.จะแนะ เสร็จแล้วขี่รถพาแม่กลับบ้าน ถึงที่เกิดเหตุมีคนร้าย 2 คน ขี่รถ จยย.ตามไล่หลัง เมื่อสบโอกาสเร่งเครื่องเข้าประกบให้คนนั่งซ้อนท้ายชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่สองแม่ลูก 3 นัดซ้อนจนรถเสียหลักล้ม ทำให้นางสง่าเสียชีวิตคาที่ ส่วนนายทัศไนย์ได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วคนร้ายขี่รถหลบหนีไป เจ้าหน้าที่ไล่ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางเร่งหาเบาะแสคนร้าย เบื้องต้นคาดว่าเป็นฝีมือแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่สร้างสถานการณ์ มีเป้าหมายล่าสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะเหยื่อที่อ่อนแอไม่มีทางต่อสู้อีกเหตุการณ์ลอบวางระเบิดรับ มท.3 เปิดงานมหกรรมตาดีกาสัมพันธ์ เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 พ.ค. เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น บริเวณชายป่าสวนผลไม้ของชาวบ้าน ห่างประมาณ 40 เมตร จากด้านหลังเต็นท์จำหน่ายสินค้าในงานมหกรรมตาดีกาสัมพันธ์เทศบาลตำบลรือเสาะ จัดขึ้นที่มัสยิดอัลฮีดายะห์ บ้านบือแนยามู หมู่ 2 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส สร้างความแตกตื่นตกใจให้ชาวบ้านและพ่อค้าแม่ค้าที่มาร่วมงานพากันวิ่งหนีชุลมุนหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่กันพื้นที่ไว้ กระทั่งเวลา 10.10 น. น.ส.ซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รมช.มหาดไทย เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดงาน มีนายวีรพัฒน์ บุณฑริก รอง ผวจ.นราธิวาส พร้อมข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดและกำลังตำรวจทหารมาให้การต้อนรับ ภายในงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลังจาก น.ส.ซาบีดา รมช.มหาดไทย เปิดงานและร่วมกิจกรรมแล้วเสร็จได้เดินทางกลับโดยที่ไม่ทราบว่าเพิ่งเกิดเหตุระเบิดขึ้นต่อมาเวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดเข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ ตรวจพบว่ามีระเบิดแสวงเครื่องอีก 1 ลูกซุกซ่อนอยู่ห่างจากจุดระเบิดลูกแรกประมาณ 10 เมตร เจ้าหน้าที่ต้องกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกห่างก่อนใช้ปืนยิงน้ำแรงดันสูงยิงทำลาย ตรวจสอบระเบิดทั้ง 2 ลูกพบว่าเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่บรรจุอยู่ในท่อเหล็กกลมหนัก 1-2 กก. จุดชนวนด้วยการใช้เท้าเหยียบ เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นฝีมือแนวร่วมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงลักลอบนำกับดักระเบิดไปซุกซ่อนไว้หมายสังหารเจ้าหน้าที่ที่ถูกส่งตัวมารักษาความปลอดภัยให้คณะ รมช.มหาดไทย โดยกลุ่มคนร้ายเดาใจว่าเจ้าหน้าที่จะมายืนรักษาความปลอดภัยบริเวณดังกล่าว แต่โชคดีระเบิดลูกแรกขัดข้องเกิดระเบิดขึ้นก่อน ทำให้ต้องกันพื้นที่ไว้ให้เจ้าหน้าที่อีโอดีเข้าตรวจสอบจนพบระเบิดลูกที่สอง ยิงทำลายทิ้งไปได้ไม่มีใครได้รับอันตรายพล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการก่อเหตุร้ายต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ อ.จะแนะ และ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส 2 เหตุการณ์ภายในระยะเวลาไม่ถึง 24 ชม.ว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. แสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ พร้อมประกาศว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องร่วมกันต่อสู้ อาศัยองค์ประกอบต่างๆที่มีอยู่ในระบบทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และกลไกกระบวนการยุติธรรม มาเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน สั่งการให้ กอ.รมน.ภาค 4 ดำเนินการเร่งด่วน ปรับมาตรการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ทั้งในเชิงรับและเชิงรุกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เน้นการสกัดกั้นการก่อเหตุต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน เพิ่มความเข้มงวดของจุดตรวจและการลาดตระเวนเชิงรุกควบคู่กับมาตรการด้านการข่าวในการติดตาม สืบสวน และจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ขอความร่วมมือจากประชาชนหากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยหรือพฤติกรรมผิดปกติในพื้นที่ แจ้งเบาะแสที่สายด่วน กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า โทร.1341 หรือแจ้งต่อหน่วยเฉพาะกิจของเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ใกล้เคียงได้ตลอด 24 ชม.ด้าน น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า กรรมาธิการวิสามัญสันติภาพชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง รอบหนึ่งเดือนสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ ไม่ใช่แค่มีจำนวนเหตุมากขึ้น แต่เป้าหมายเปลี่ยนไปสู่ soft target หรือเป้าหมายอ่อนที่เป็นพลเรือน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ตนขอประณามผู้ก่อเหตุไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด สิ่งที่รัฐบาลควรทำคือต้องหนักแน่น ไม่หวั่นไหวต่อการพยายามก่อความรุนแรงเพื่อล้มการเจรจา เพราะถ้าไม่เจรจาก็ไม่มีทางออกอื่น นอกจากความรุนแรงที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นนอกจากการประณามผู้ก่อเหตุความรุนแรงแล้ว เราต้องเรียกร้องให้รัฐบาลกลับสู่การเจรจาสันติภาพ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ลดความรุนแรง และคืนสันติภาพให้เกิดขึ้นในชายแดนใต้ได้โดยเร็วอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่