เป็นที่ฮือฮากันไปทุกวงการเมื่ออะไรที่ไม่เคยเกิดก็เกิดขึ้นมาแล้ว ว่าด้วยเรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ไปนอนรักษาตัวเพราะไม่ยอม “ติดคุก” อ้างว่าป่วย จึงต้องไปพำนักที่นั่นความจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ก็มิอาจทำอะไรได้ เนื่องจากมีข้อครหาว่า “ทักษิณ” ไม่ได้ป่วยจริงแต่เป็น “ป่วยทิพย์” เพื่อจะได้ไม่ต้องติดคุกแม้แต่วันเดียว โดยทางเรือนจำได้นำตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจทว่าเรื่องนี้มีการจับพิรุธตามรูปการณ์ที่ปรากฏ เพียงแต่ไม่มีพยานหลักฐานที่จะจับให้มั่นคั้นให้ตายได้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ยืนยัน “ป่วยจริง” และปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ถูกต้องทุกอย่างมีการร้องไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่สามารถเอาผิดได้เพราะต่างก็อ้างว่าทำถูกต้องทุกอย่างแม้กระทั่งมีการนำเรื่องนี้ไปอภิปรายในสภา แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้กระทั่งมีนักการเมืองคนหนึ่งซึ่งมีประสบการณ์ในการร้องเรียนพอสมควร ได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองถึง 3 ครั้งปรากฏว่าศาลไม่รับคำร้องทั้ง 3 ครั้ง อ้างว่าผู้ร้องไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงก็คงนึกว่าเรื่องนี้น่าจะจบแล้ว!แต่หลังจากที่ศาลตีตกคำร้องครั้งที่ 3 แล้ว ได้สั่งให้มีการไต่สวนเรื่องนี้ต่อไปเพราะมีอำนาจชอบธรรม และเห็นว่าคดีนี้ “มีมูล” เป็นที่โจษขานกันว่ามีการใช้อภิสิทธิ์ชนเหนือประชาชนโดยทั่วไปก็เลยฮือฮากันเพราะไม่เคยปรากฏมาก่อนที่ศาลจะขอไต่สวนเองทั้งนี้ ประเด็นก็คือการไม่บังคับให้เป็นไปตามที่ศาลได้มีคำตัดสินไปแล้ว และสั่งให้อัยการ ผบ.เรือนจำ แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจชี้แจงเรื่องนี้อ้างถึง 3 คดีใหญ่ที่ “ทักษิณ” ได้ถูกคำพิพากษาให้จำคุกและได้ลดโทษเหลือ 1 ปี หลังจากได้ยื่นขออภัยโทษศาลได้นัดวันที่ 13 มิ.ย.2568 ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงส่วนคำชี้แจงต่างๆให้ดำเนินการให้เรียบร้อยภายในเวลา 30 วันทั้งนี้ ได้มีการตั้ง 5 ผู้พิพากษาเป็นองค์คณะ เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ประเด็นที่ศาลจะพิจารณาไต่สวนก็คือต้องการที่จะทราบว่าหลังจากมีคำพิพากษาแล้ว ทางกรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการถูกต้องตามคำสั่งหรือไม่คือจำคุกจำเลย 1 ปี!ซึ่งศาลต้องการทราบว่าได้มีการดำเนินการอย่างไร เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์หรือไม่ เนื่องจากในคำร้องได้ระบุว่าจำเลยไม่ได้ป่วยจริง แต่เรือนจำอ้างว่าป่วยเพื่อจะได้ไม่ต้องติดคุก โดยอ้างว่าแพทย์ของเรือนจำวินิจฉัยว่าป่วยจริงอีกทั้งแพทย์จาก รพ.ตำรวจซึ่งรับจำเลยไปรักษาก็อ้างว่าป่วยจริงและมีอาการหนักจนต้องนอนรักษาตัวนานจนได้รับการพักโทษไม่ได้เข้าเรือนจำอีกเลยศาลไต่สวนเพื่อต้องการข้อเท็จจริงเป็นไปตามคำอ้างหรือไม่หากพบว่าไม่ได้เป็นไปตามนั้น ก็แสดงว่ามีการบิดเบือนเพื่อช่วยเหลือจำเลยไม่ต้องติดคุก ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีความผิดทุกคน“ทักษิณ” ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ก็ต้องกลับไปเข้าคุก!ต่างๆเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะไต่สวนเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแน่นอนว่า “ทักษิณ” ย่อมไม่สามารถหลีกหนีพ้นไปได้และย่อมส่งผลกระทบต่อการเมืองอย่างแน่นอนทำให้ “ทักษิณ” ต้องมีชนักในคดีความ 2 เรื่อง คือเรื่องนี้และคดี ม.112 อีกคดีหนึ่งเช่นกันรัฐบาลก็มิอาจหลีกหนีไปได้ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุด!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม