ไม่มีใครหมดตัวจากการขายหุ้นตอนที่ยังมีกำไร แต่ก็ไม่มีใครร่ำรวยอย่างแท้จริงจากวิธีนี้ นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่สายเน้นคุณค่าอย่าง “วอร์เรน บัฟเฟต์” ไม่เพียงให้ความสำคัญกับการเลือกลงทุนในธุรกิจชั้นเลิศ ที่มีสินค้าผูกขาดชัดเจน แต่เขายังมีศาสตร์และศิลป์ในการขายหุ้นทำกำไรที่แตกต่างจากชาวบ้าน โดยจะกำจัดเฉพาะวัชพืชออกจากสวน และไม่เผลอทำร้ายต้นอ่อนที่กำลังแตกกิ่งก้านสาขาเตรียมให้ดอกผลงอกงามยุคแรกของการลงทุน “คุณปู่บัฟเฟต์” เลือกใช้วิธีของปรมาจารย์ที่นับถือ “เบนจามิน เกรแฮม” ในการขายหุ้น โดย “เกรแฮม” จะขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นไปเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง เพราะเชื่อว่าหุ้นที่ราคาสูงกว่ามูลค่าแท้จริงแล้วแทบไม่มีโอกาสทำกำไรให้นักลงทุนต่อ จึงเป็นการดีกว่าถ้านักลงทุนจะมองหาหุ้นตัวอื่นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงถ้า “เกรแฮม” ซื้อหุ้นตัวหนึ่งในราคา 15 เหรียญ และประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นไว้ที่ 30 เหรียญ ถึง 40 เหรียญต่อหุ้น เมื่อหุ้นมีราคาขึ้นถึง 30 เหรียญ เขาจะขายหุ้นตัวนั้นทันที และนำเงินที่ได้ไปซื้อหุ้นที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง กระนั้นปัญหาใหญ่ของวิธีแบบ “เกรแฮม” คือจะทำอย่างไรถ้าราคาหุ้นไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นเท่ากับมูลค่าที่แท้จริงได้ และจะทำอย่างไรถ้าตลาดไม่ยอมที่จะรับรู้มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น นักลงทุนควรจะรอนานแค่ไหน คำตอบคือ “เกรแฮม” ให้เวลาหุ้นแต่ละตัวไม่เกิน 2-3 ปี เขาให้เหตุผลว่า ถ้าหุ้นไม่สามารถวิ่งขึ้นจนราคาเท่ากับมูลค่าที่แท้จริงภายใน 2-3 ปี อาจจะไม่มีวันทำได้อีกเลย นักลงทุนควรตัดสินใจขาย และมองหาโอกาส ใหม่ๆดีกว่า เพราะยิ่งต้องถือหุ้นไว้นานเท่าไหร่ อัตราผลตอบแทนต่อปีก็จะยิ่งลดลงเมื่อลงทุนมาได้พักใหญ่ “คุณปู่บัฟเฟต์” ค้นพบว่า วิธีการของปรมาจารย์ไม่สามารถแก้ปัญหาการรับรู้มูลค่าของตลาดได้อย่างแท้จริง เขาพบว่าบ่อยครั้งที่ต้องถือหุ้นเน่าๆที่ไม่มีวันจะมีราคาเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง หรือแม้ราคาหุ้นที่เขาถืออยู่จะสามารถขึ้นไปถึงมูลค่าที่แท้จริงได้ แต่เมื่อขายหุ้นเหล่านั้น ก็ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุนให้สรรพากรอยู่ดี“ชาร์ลี มังเกอร์” และ “ฟิลิป ฟิชเชอร์” เข้ามามีบทบาทต่อการลงทุนของ “คุณปู่บัฟเฟต์” ในยุคต่อมา โดยพวกเขาเห็นว่า เมื่อใดนักลงทุนได้ซื้อหุ้นของธุรกิจชั้นเลิศที่กำลังเติบโต และมีผู้บริหารที่ทำงานโดยเห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญแล้ว ไม่มีช่วงเวลาใดจะสมควรให้พวกเขาขายหุ้นดังกล่าวเลย เว้นแต่ว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป หรือพบโอกาสอื่นที่ดีกว่า ซึ่ง “คุณปู่บัฟเฟต์” เชื่อว่าการใช้กลยุทธ์นี้ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เพราะทำให้นักลงทุนได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนทบต้นของกำไรสะสมของธุรกิจอย่างต่อเนื่องเต็มที่“คุณปู่บัฟเฟต์” ต้องล้างสมองตัวเองใหม่ เพื่อออกจากกรอบแนวคิดของ “อาจารย์เกรแฮม” และเลิกช็อปของถูกโดยใช้ราคาเป็นตัวตัดสิน คุณปู่เปลี่ยนมาลงทุนโดยยึดศักยภาพทางธุรกิจเป็นหลัก จะเฟ้นหาแต่ธุรกิจชั้นเลิศที่ให้อัตราผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นสูง, มีสินค้าผูกขาดชัดเจน (Consumer Monopoly) และผู้บริหารคำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก จากนั้นก็รอเวลาหาโอกาสเข้าลงทุนในยามบริษัทนั้นๆเผชิญกับวิกฤติชั่วคราว เมื่อใดก็ตามที่คุณปู่ซื้อหุ้นแล้ว จะถือหุ้นดังกล่าวไปนานหลายปีตราบเท่าที่ศักยภาพทางธุรกิจยังไม่เปลี่ยนแปลงเลวร้ายรุนแรง จนถึงปัจจุบันคุณปู่ยังถือหุ้นหลายตัวที่ลงทุนไว้ข้ามทศวรรษ และรับผลตอบแทนทบต้นต่อปีมาอย่างจุกๆต่อเนื่องปีแล้วปีเล่าอย่าพยายามซื้อหุ้นที่ราคาต่ำสุดและขายที่ราคาสูงสุด เพราะมีแต่คนโกหกเท่านั้นที่สามารถทำได้!! ถามว่ายามเกิดวิกฤติใหญ่ คุณปู่รับมือยังไง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ในตลาดเทขายหุ้นหนีตายกัน หรือไม่ก็ยืนขาตายปล่อยโอกาสทองหลุดมือ คุณปู่กลับยืนยิ้มอยู่เบื้องล่าง เพื่อคอยเก็บหุ้นของบริษัทชั้นเลิศทั้งหลาย ที่กำลังร่วงหล่นลงหุบเหว ย้อนไปตอนวิกฤติปี 1987 คุณปู่อุ้มเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กระโจนเข้าไปซื้อหุ้นโคคา-โคล่าที่ถูกทุบลงอย่างหนัก โดยไม่ได้ขายหุ้นในพอร์ตสักตัวเพื่อเปลี่ยนไปถือเงินสด ในขณะที่ผู้คนถอนตัวจากตลาดหมีและเลิกเล่นหุ้น กลับเป็นเวลาช็อปปิ้งของถูกอย่างเมามันส์ที่สุดสำหรับมหาเศรษฐีนักลงทุนนึกถึงคำคมของปู่เลย “จงกลัวเมื่อคนอื่นโลภ และจงโลภเมื่อคนอื่นกลัว”.มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม