“ดีเอสไอ” จับมือ “กรมโยธา” เปิดตรวจสอบเอกสารรวม 121 ลัง ที่ยึดจากไซต์งานก่อสร้างอาคาร สตง.ที่ถล่ม ใช้เวลากว่า 5 ชม.จึงแล้วเสร็จ ตั้งเป้าหาหลักฐาน 5 ประเด็นสำคัญคือ เอกสารเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทั้งหมด เอกสารเกี่ยวกับการออกแบบงาน เอกสารการควบคุมงาน เอกสารการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบ และเอกสารเกี่ยวกับวัสดุ สอบปากคำวิศวกรวันนี้มา 8 คน ให้การยอมรับว่ามีการปลอมลายเซ็น 7คนเหลือเข้าให้การพรุ่งนี้อีก 10 คน สจล.แย้มผลทดสอบเหล็กและปูนทางวิศวกรรมว่าได้มาตรฐานหรือไม่ ใกล้ดำเนินการเสร็จ คาดวันที่ 2 พ.ค.ส่งถึงมือคณะพนักงานสอบสวนนครบาล ด้านการค้นหาผู้สูญหายจุดเกิดเหตุ พบร่างผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 13 ศพ บริเวณโซน D กับโซน C เจาะซากอาคารถึงชั้น 1 ระนาบเดียวกับพื้นผิวแล้ว “จิรายุ ห่วงทรัพย์” ฐานะที่ปรึกษา บก.ปภช. เผยทดสอบระบบเซลล์บรอดคาสต์แจ้งเตือนภัยผ่านมือถือ นำร่องครั้งแรก 5 พื้นที่ 2 พ.ค.กรณีการสืบสวนคลี่คลายคดีอาคารกำลังก่อสร้างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ถล่ม หลังเหตุแผ่นดินไหว ทำให้มีผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก หลังเกิดเหตุเมื่อวันที่ 28 มี.ค. การรื้อซากหาร่างผู้เสียชีวิตยังไม่เสร็จสิ้น ขณะที่การสืบสวนสาเหตุการถล่มโดย 2 หน่วยงานประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เร่งดำเนินการรวบรวมหลักฐานดำเนินการทุกความผิดความคืบหน้าจากห้องอบรมความเชี่ยวชาญ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ศูนย์ราชการฯ เมื่อเวลา 09.30 น.วันที่ 1 พ.ค. คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และเจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมวางแผนขั้นตอนในการเปิดเอกสารเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างอาคาร สตง.ที่ถล่มจำนวน 121 ลัง หลังจากดีเอสไออายัดมาจากไซต์งานชั่วคราว สตง. ส่วนที่ห้องประชุม กคร.หรือกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (กองคดีฮั้วประมูล) พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง ผอ.กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ นัดหมายสอบปากคำพยานวิศวกรกิจการร่วมค้า PKW อีก 10 คนจากทั้งหมด 40 คนต่อมา พ.ต.ท.อมร หงษ์ศรีทอง เผยว่า วันนี้ดำเนินการ 2 ส่วนคือ 1.การสอบปากคำพยานวิศวกรภายใต้กิจการร่วมค้า PKW จำนวน 10 คน มีวิศวกรยืนยันเข้าพบพนักงานสอบสวน 8 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 4 คน และช่วงบ่ายอีก 4 คน ช่วงเช้ามาครบแล้วอยู่ระหว่างให้ปากคำ ส่วนการเปิดเอกสารที่อายัดมาวันนี้จะร่วมกับผู้แทนกิจการผู้ค้า ประกอบด้วยกิจการร่วมค้า ITD-CREC ผู้แทนกิจการร่วมค้า PKW และผู้แทน สตง. ร่วมกันเปิดเอกสารตรวจอย่างละเอียด ขณะที่บริษัทผู้ออกแบบอย่างบริษัทฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัทไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ยังไม่ต้องมาร่วมเปิดเอกสารวันนี้ เนื่องจากยังไม่พบว่ามีส่วนใดเป็นของบริษัทผู้ออกแบบ“เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดเจ้าหน้าที่มา 4 ชุด เพื่อดูประเด็นสำคัญ 5 เรื่องประกอบด้วย เอกสารเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างทั้งหมด เอกสารเกี่ยวกับการออกแบบงาน เอกสารการควบคุมงาน เอกสารการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบ และเอกสารเกี่ยวกับวัสดุ การให้น้ำหนักว่าเอกสารใดสำคัญต้องหารือกับเจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการฯ เนื่องจากเอกสารที่จะนำเข้าสู่สำนวนถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการฯเช่นกัน เจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการฯที่เข้ามาวันนี้ทราบว่า เป็นฝ่ายเลขาจากคณะกรรมการชุดใหญ่ฯ กรอบเวลาการตรวจสอบเอกสารที่จะถูกใช้เป็นพยานหลักฐานในสำนวน เรายังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาได้ เนื่องจากต้องตรวจสอบและดูรายละเอียดเพิ่มเติม หากมีส่วนไหนเห็นว่าต้องเชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาตอบคำถาม จะพิจารณาออกหนังสือเชิญต่อไป” พ.ต.ท.อมรกล่าวต่อมาผู้สื่อข่าวได้รับรายงานจากคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษที่ 32/2568 กรณีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 2542 หรือนอมินี บริษัทไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด ว่า หลังจากดีเอสไอร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมโยธาธิการและผังเมือง ผู้แทน สตง. ผู้แทนกิจการร่วมค้า PKW และผู้แทนกิจการร่วมค้า ITD-CREC เปิดเอกสาร 121 ลังผ่านมากว่า 5 ชม.จึงเสร็จสิ้น เอกสารบางส่วนถูกนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในสำนวนคดี ส่วนการเรียกสอบปากคำพยานวิศวกร 8 คน วันนี้ยืนยันว่ามาครบทั้ง 8 คน ดีเอสไอออกหมายเรียกพยานวิศวกรทั้งสิ้น 40 คน สอบปากคำไปแล้ว 25 คน วันที่ 2 พ.ค.จะเป็นวันสุดท้ายของการสอบปากคำพยานวิศวกรอีก 10 คน ที่เหลือ ส่วนวิศวกรที่ไม่ได้มาตามนัดหมายจะเรียกมาให้การใหม่อีกครั้งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษระบุต่อว่า สำหรับคำให้การของพยานวิศวกรทั้ง 25 คนสรุปดังนี้ วันที่ 29 เม.ย.มีพยานวิศวกรมาพบพนักงานสอบสวน 7 คน ให้การว่า มีการปลอมลายเซ็น 6 คน และยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของตนเองจริง 1 คน ส่วนวันที่ 30 เม.ย.มีพยานวิศวกรเข้าพบ 10 คน ให้การยอมรับว่า มีการปลอมลายเซ็น 6 คน และยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของตนเองจริง 4 คน ส่วนวันที่ 1 พ.ค.มีพยานวิศวกรมาพบพนักงานสอบสวนครบ 8 คน ให้การยอมรับว่ามีการปลอมลายเซ็น 7 คน และยอมรับว่าเป็นลายเซ็นของตนเองจริง 1 คนที่กองอำนวยการร่วม สน.บางซื่อ ห้างเจเจมอลล์ เวลา 10.30 น. นายสุริยชัย ระวิวรรณ ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร (ผอ.สปภ.กทม.) ฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ เปิดเผยความคืบหน้าการค้นหาผู้สูญหายและการรื้อถอนซากอาคาร สตง.ว่า มีแผ่นคอนกรีตขนาดสมบูรณ์ถล่มลงไปซ้อนกันอยู่ 5 ชั้นทรุดตัวลงไปชั้นใต้ดิน ทั้งหมดอยู่ระดับเดียวกับพื้นชั้นหนึ่ง การเข้าถึงพื้นที่ชั้นใต้ดินเจ้าหน้าที่เริ่มเจาะเปิดช่องในโซนบีและโซนซีเพื่อลงไปยังช่องบันได ขณะนี้สามารถเจาะทะลุลงไปถึงช่องบันไดแล้วห่างจากขอบอาคารประมาณ 15 เมตร นอกจากนี้ยังพบร่างผู้สูญหายอีก 6 ศพดังนี้ เวลา 22.53 น. วันที่ 30 เม.ย.บริเวณโซนดีพบ 1 ร่างไม่ทราบเพศ เวลา 02.25 น.วันที่ 1 พ.ค.พบร่างไม่ทราบเพศ 1 ร่าง เวลา 09.40 น.พบร่างไม่ทราบเพศ 1 ร่าง เวลา 10.10 น. พบร่างไม่ทราบเพศ 1 ร่าง เวลา 10.44 น. พบร่างไม่ทราบเพศ 1 ร่าง และเวลา 12.15 น.พบร่างไม่ทราบเพศอีก1ร่าง ทั้งหมดพบบริเวณโซนดี นอกจากนี้ยังพบกระดูกและชิ้นเนื้อจำนวนมากบริเวณโซนซีและดี เบื้องต้นนำร่างและชิ้นส่วนมนุษย์ทั้งหมดส่งตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์ที่สถาบันนิติเวชวิทยา รพ.ตำรวจ เพื่อยืนยันตัวบุคคลต่อไป และช่วงเวลา 14.00-19.00 น. พบอีก 7 ศพ บริเวณโซน C เชื่อมโซน D รวม 13 ศพเวลา 18.00 น. ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์สำนักงานเขตจตุจักร สรุปยอดความคืบหน้าภารกิจกู้ภัยคนงานที่ประสบภัย และผู้สูญหายจากอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินหลังใหม่พังถล่ม ณ เวลา 18.00 น. วันที่ 1 พ.ค.ว่า มีผู้ประสบเหตุ 103คนแยกเป็นผู้เสียชีวิตที่ได้รับการตรวจยืนยันอัตลักษณ์บุคคลเบื้องต้น 74 คน ผู้บาดเจ็บ 9 คน พบอีก 13 ราย และยังมีผู้สูญหายอยู่ระหว่างค้นหาอีก 7 คน“สำหรับพื้นที่ใต้ดินลึกประมาณ 3 เมตรขณะนี้ขุดลึกลงไปได้ประมาณ 1.5 เมตร การปฏิบัติงานยังคงพบอุปสรรคในฝั่งโซนเอ เนื่องจากมีคานขนาดใหญ่ที่หักจากเสาตกลงมาทับซ้อนกันหลายชั้น จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรหนักตัดและยกออก เมื่อวานดำเนินการได้เพียงเสาเดียว ส่วนโซนซีและดีคืบหน้าไปมาก โดยเฉพาะโซนซีเหลือระยะทางประมาณ 10 เมตรก่อนถึงพื้นที่ที่คาดว่าจะมีผู้สูญหายติดค้างอยู่ พื้นที่บริเวณนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างอาคาร คาดว่าเป็นจุดที่มีผู้ประสบภัยอยู่ใกล้โถงบันไดฝั่งลิฟต์ทั้ง 2 ฝั่ง แม้วันนี้จะตรงกับวันแรงงาน แต่เครื่องจักรภาคเอกชนยังคงเดินหน้าทำงานเต็มที่” ผอ.สปภ.กทม.กล่าวที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) นายอาทิตย์ เพชรศศิธร หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมโยธา สจล.เผยว่า ตามที่พนักงานสอบสวนตำรวจนครบาลประสานส่งชิ้นส่วนคอนกรีตและเหล็กเส้นที่ยึดมาจากซากโครงสร้างอาคาร สตง.ที่ถล่มมาให้ศูนย์ทดสอบวัสดุ ภาควิชาวิศวกรรมโยธา ตรวจสอบทางวิศวกรรมว่าเป็นไปตามมาตรฐานการออกแบบและขั้นตอนการก่อสร้างหรือไม่นั้น การตรวจวัสดุทั้งหมดเป็นการตรวจหาว่า สาเหตุที่ตึกถล่มแท้จริงมาจากขั้นตอนไหนใน 3 ขั้นตอนคือ ขั้นตอนการออกแบบ ขั้นตอนการจัดหาวัสดุ หรือขั้นตอนก่อสร้าง ขณะนี้เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ทดสอบวัสดุทั้ง 2 ชนิดใกล้เสร็จแล้ว“ส่วนเหล็กเส้น เรามุ่งตรวจสอบความเหนียวเป็นสำคัญ หาว่าค่ากำลังรับแรงดึงที่คราก ค่ากำลังรับแรงดึงสูงสุด และค่าระยะยืดของเหล็กที่ใช้ก่อสร้าง เป็นไปตามมาตรฐานการออกแบบอาคารหรือไม่ หากค่าผลทดสอบออกมาต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดในขั้นตอนการออกแบบ มีโอกาสที่โครงสร้างอาคารไม่ได้รับความปลอดภัยสูง ส่วนการทดสอบชิ้นส่วนคอนกรีตทั้งส่วนผนังและเสา เราทดสอบหา “ค่ากำลังรับแรงอัดประลัย” ว่าเป็นไปตามมาตรฐานการออกแบบที่กำหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งยังตรวจสอบหาสาเหตุว่า หากผลการทดสอบค่ากำลังออกมาต่ำกว่าเกณฑ์จะมีสาเหตุอะไรเป็นปัจจัยได้บ้าง เช่น เกิดจากขั้นตอนการเทคอนกรีตผิดพลาดหรือไม่ คาดกว่าภายในวันที่ 2 พ.ค.จะได้ผลการทดสอบทางวิศวกรรมอย่างเป็นทางการ เมื่อผลออกมาแล้วพนักงานสอบสวนตำรวจนครบาลจะมารับผลไปเองในวันนั้นเลย” นายอาทิตย์กล่าวด้านนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ฐานะที่ปรึกษากองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภช.) เผยว่า วันที่ 2 พ.ค. เวลา 13.00 น. จะมีการทดสอบระบบแจ้งเตือนภัยผ่านระบบเซลล์บรอดคาสต์ (Cell Broadcast) ส่งข้อความไปยังโทรศัพท์มือถือจำนวนมากที่อยู่ในพื้นที่กำหนดพร้อมกันเป็นครั้งแรก เป็นการทดสอบระดับเล็ก ครอบคลุมพื้นที่นำร่อง 5 แห่ง ได้แก่ ศาลากลาง จ.เชียงราย ศาลากลาง จ.อุบลราชธานี ศาลากลาง จ.สุพรรณบุรี ศาลากลาง จ.สงขลา และอาคารศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ อาคารเอและบี จะมีเสียงสัญญาณดังขึ้นแม้โทรศัพท์ปิดเสียง อาจทำให้เกิดความตื่นตระหนก ขอย้ำเตือนผู้ไม่คุ้นเคยว่าเป็นการทดสอบระบบ คำนึงถึงความรวดเร็วและชัดเจนของข้อความที่ต้องตรงประเด็น สอดคล้องกับลักษณะของภัยพิบัติและพื้นที่เกิดเหตุ ตามข้อสั่งการนายกฯ“การทดสอบระบบจะดำเนินการ 3 ครั้งครั้งที่2 วันที่ 7 พ.ค. เวลา 13.00 น. เป็นการทดสอบระดับกลาง ครอบคลุม 5 พื้นที่ของ อ.เมืองลำปาง จ.นครราชสีมา จ.นครสวรรค์ จ.สุราษฎร์ธานี และเขตดินแดง กรุงเทพฯ สำหรับการทดสอบส่งแจ้งเตือนระดับสูงสุดในครั้งที่ 3 วันที่ 13 พ.ค. เวลา 13.00 น. ในรูปแบบเต็มพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.อุดรธานี จ.พระนครศรีอยุธยา จ.นครศรีธรรมราช และ กทม. เมื่อเสร็จสิ้นทั้ง 3 ครั้งแล้ว ปภ.จะทดลองระบบในระดับประเทศทั้ง 77 จังหวัดพร้อมกันต่อไป” นายจิรายุกล่าวอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่