น้ำมันเมล็ดพืชกลายมาเป็นอาหารหลักของชาวอเมริกัน–ไทย เนื่องจากต่างจากไขมันวัว หมูซึ่งประกอบด้วยไขมันอิ่มตัวที่เพิ่มระดับคอเลสเทอรอล น้ำมันเมล็ดพืชมีไขมันไม่อิ่มตัวที่สามารถลดระดับคอเลส เทอรอลได้ ในทางทฤษฎีนั่นหมายความว่าน้ำมันเมล็ดพืช “ควร” ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าน้ำมันเมล็ดพืชแต่ละชนิดมีผลต่อความเสี่ยงของโรคหัวใจแตกต่างกัน นอกจากนี้ น้ำมันเมล็ดพืชยังแสดงให้เห็นว่าเพิ่มความเสี่ยงของอาการไมเกรนอีกด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะน้ำมันเมล็ดพืชมีกรดไขมันโอเมก้า 6 สูง ไขมันเหล่านี้อาจเพิ่มการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นและอาจเป็นอันตรายได้ คุณหมอ Mary J. Scourboutakos ปริญญาเอกด้านโภชนาการ, University of Toronto นำข้อมูลวิทยาศาสตร์ด้านโภชนาการล่าสุด มาปรับใช้เป็นคำแนะนำด้านโภชนาการสำหรับผู้ป่วย เมื่อพูดถึงน้ำมันเมล็ดพืช การวิจัยแสดงให้เห็นว่าผลกระทบต่อสุขภาพมีความแตกต่างกันมาก น้ำมันเมล็ดพืชเข้ามามีบทบาทในอาหารได้อย่างไร น้ำมันเมล็ดพืชซึ่งมักถูกเรียกอย่างสับสนว่าเป็น “น้ำมันพืช” ก็คือน้ำมันที่สกัดมาจากเมล็ดพืช ตามชื่อนั่นเอง ซึ่งต่างจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันมะพร้าวที่สกัดมาจากผลไม้ น้ำมันเมล็ดพืช 8 ชนิด ได้แก่ น้ำมันคาโนลา ข้าวโพด ถั่วเหลือง เมล็ดฝ้าย เมล็ดองุ่น ดอกทานตะวัน ดอกคำฝอย และรำข้าว เมื่อแยกแยะส่วนประกอบ ความจริงควรใช้ได้น้อยมาก น้ำมันเหล่านี้เข้ามามีบทบาทในอาหารของมนุษย์ในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากการประดิษฐ์เครื่องอัดแบบสกรูเชิงกลในปี 1888 ซึ่งทำให้สามารถสกัดน้ำมันจากเมล็ดพืชได้ในปริมาณสูง ระหว่างปี 1909 ถึง 1999 การบริโภคน้ำมันถั่วเหลืองของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1,000 เท่า การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้องค์ประกอบทางชีวภาพของเราในทางพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ความเข้มข้นของกรดไขมันโอเมก้า 6 ที่ชาวอเมริกันมีอยู่ในเนื้อเยื่อไขมันเพิ่มขึ้น 136%อาหารที่มี อัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 สูง นั้นเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพหลายประการ ความแตกต่างของอัตราส่วนนี้ในน้ำมันเมล็ดพืชอาจอธิบายได้ว่าทำไมน้ำมันเมล็ดพืชบางชนิดกลับไม่ป้องกันอาการหัวใจวายและการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ อัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 น้ำมันเมล็ดองุ่น 696 : 1 น้ำมันเมล็ดฝ้าย 257 : 1 น้ำมันดอกทานตะวัน 125 : 1 น้ำมันดอกคำฝอย 91 : 1 น้ำมันข้าวโพด 50 : 1 น้ำมันรำข้าว 21 : 1 น้ำมันถั่วเหลือง 8 : 1 น้ำมันคาโนลา 2 : 1 (ที่มา : USDA Food Data Central)โอเมก้า 6 มีแนวโน้มที่จะผลิตโมเลกุลที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ กรดไขมันโอเมก้า 3 มีแนวโน้มที่จะผลิตโมเลกุลที่ลดการอักเสบ ปัจจุบันผู้คนบริโภคโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ถึง 15 เท่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการบริโภคน้ำมันเมล็ดพืชที่เพิ่มขึ้นการศึกษาวิจัยได้เชื่อมโยงอัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ที่เพิ่มขึ้นกับภาวะต่างๆมากมาย เช่น อาการผิดปกติทางอารมณ์ อาการปวดเข่า อาการปวดหลัง อาการปวดประจำเดือน และแม้แต่การคลอดก่อนกำหนด กรดไขมันโอเมก้า 6 ยังเกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ระดับโอเมก้า 6 ในปริมาณสูง และอัตราส่วนโอเมก้า 6 ต่อโอเมก้า 3 ในน้ำมันเมล็ดพืชแต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างมาก ตัวอย่างเช่น น้ำมันดอกคำฝอยและน้ำมันดอกทานตะวันมีอัตราส่วน 125 : 1 และ 91 : 1 ส่วนน้ำมันข้าวโพดมีอัตราส่วน 50 : 1ในขณะเดียวกัน น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันคาโนลามีอัตราส่วนที่ต่ำกว่าที่ 8 : 1 และ 2 : 1 ตามลำดับผลลัพธ์ของการอักเสบและความเสี่ยงต่อสุขภาพ.หมอดื้อคลิกอ่านคอลัมน์ "สุขภาพหรรษา" เพิ่มเติม