สถานการณ์ “กำแพงภาษี” ที่สร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลก ก่อให้เกิดคำถามมากมายตามมา ซึ่งกรณีนี้ “ลี เซียน ลุง” อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ได้ให้มุมมองไว้อย่างน่าสนใจปัญหาที่ใหญ่ที่สุดจากแผนเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ คือ “ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ” อเมริกาชะลอการเก็บภาษีชาติอื่นๆ 90 วันยกเว้นจีน ความจริงสงครามกำแพงภาษีระหว่างจีน-สหรัฐฯมันเกิดขึ้นไปแล้ว หลังจากการเริ่มเก็บ 20% เล่นงานจีนที่ไม่คุมสารเคมีเสพติด จากนั้นก็กลายเป็น 145% และจีนเอาคืนในอัตรา 125% ถึงจุดนี้ตัวเลขจะเท่าไรก็ไม่มีผลแล้ว จะ 200% หรือ 300% ก็ได้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะทำธุรกิจแถมดูท่าจะไม่หยุดแค่นั้น จีนบอกว่าเล่นกันแบบนี้ งั้นฉันก็จะจำกัดการส่งออกแร่หายาก ไม่อยากขายของให้จีนไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปหาจากที่อื่น แล้วแถมให้ด้วยว่า งดนำเข้าภาพยนตร์ฮอลลีวูดไปเลยละกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ “การค้าขายแบบทวิภาคี” พังยับ ลองคิดตามว่ากำแพงภาษี 10-15% ยังมีช่องให้ดิ้น ธุรกิจยังพอทำใจตั้งสติได้ แต่ถ้า 150-200% ธุรกิจก็ไม่รู้อีกแล้วว่าพรุ่งนี้อะไรจะเกิดขึ้น ไม่สามารถตั้งสติค้าขายกันไปเหมือนกับที่ผ่านมาที่สำคัญสถานการณ์สุ่มเสี่ยงที่จะลุกลามบานปลาย ยกตัวอย่างสมมติว่า จีนส่งออกสารตั้งต้นไปต่างประเทศ วัตถุดิบนั้นโผล่ไปยังเม็กซิโกหรือประเทศอื่นๆ ทำออกมาเป็นสารเฟนทานิลที่สหรัฐฯต้องการควบคุม พอทางสหรัฐฯบอกให้จีนหยุดผลิตสารตั้งต้น จีนก็สามารถตอบได้ว่า ทำไมเราต้องมาพยายามเพื่อคุณ?ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่มันสะสมมานานไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเดโมแครตหรือรีพับลิกัน เราผู้ชมมองว่าสองพรรคนี้เห็นต่างกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องจีนแล้ว ยังไงก็รวมตัวกัน มีความเห็นที่เป็นเอกภาพอย่างหนักแน่นว่า สหรัฐฯกำลังถูกจีนท้าทาย จำเป็นต้องขัดขวางไม่ให้จีนแซงหน้า ขณะที่จีนก็บอกว่า ฉันก็มีสิทธิพัฒนาประเทศ ฉันต้องการมีที่ยืนในเวทีโลก สิ่งนี้ไม่ใช่จะแก้ไขกันได้ง่ายๆ และสงครามการค้าครั้งนี้ยิ่งทำให้มันแย่ลงไปอีกมาทีนี้เราจะทำกันเช่นไรดี? บางคนบอกว่าอย่าไปตื่นเต้น อย่าไปทำให้เป็นเรื่องใหญ่ เราเคยผ่านพายุที่เลวร้ายมาแล้วหลายครั้งและก็ไม่เคยล้มเหลว ไม่ว่าจะช่วงวิกฤตการณ์เงินโลก หรือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ประเทศเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจโลก เป็นสถานที่น่าลงทุน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ “ระบบองค์การการค้าโลก” WTO คือกลไกที่คอยช่วยให้ประเทศต่างๆ มีกฎเกณฑ์ร่วมที่ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบยกตัวอย่างให้เห็นภาพคือ สองประเทศค้าขายกัน จู่ๆวันหนึ่งยุโรปขอเก็บภาษีรถยนต์ญี่ปุ่นเพิ่ม เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์ยุโรป สิ่งที่ตามมาคือยุโรปก็จำเป็นต้องเก็บภาษีในอัตราเดียวกันกับรถยนต์จากจีน เกาหลีใต้ อินเดีย หรืออเมริกัน ในทางตรงกันข้ามหากออสเตรเลียประกาศว่า ข้าวจากอินเดียจะได้รับการยกเว้นภาษี เอาดิวตี้ฟรีไปเลย ชาติอื่นๆก็ต้องได้รับสิทธิยกเว้นภาษีข้าวเหมือนกัน นี่คือระบบ MFN–Most Favoured Nation หลักปฏิบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง ซึ่งที่จริงหมายความว่า อนุเคราะห์อย่างเสมอภาคทว่าสถานการณ์ในครั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯไม่ต้องการ MFN แต่ต้องการที่จะรื้อระบบทั้งหมด ต้องการแทนที่ MFN ด้วยกำแพงภาษีตอบโต้ เสมือนป่าวประกาศกับทุกคนว่า ฉันต้องการที่จะเลือกปฏิบัติ และใช้อำนาจต่อรองของอเมริกาให้เป็นประโยชน์ ใช้พลังของชาติที่ GDP คิดเป็น 1 ใน 4 ของโลก มีแนวคิดว่าทำไมฉันต้องต่อรองแบบเสมอภาค ในเมื่อประเทศต่างๆไม่ได้ถือไพ่เหมือนกับฉัน งัดข้อวัดกันไปเลยดีกว่า ซึ่งถือเป็นแนวคิดที่ไม่ได้ต้องการวิน–วิน แต่ต้องมี “คนแพ้” กับ “คนชนะ”ด้วยเหตุนี้สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกของเราคือ 1.แต่ละประเทศจะมีกฎเกณฑ์ของตัวเอง ประเทศเล็กจะเผชิญกับความเจ็บปวดเนื่องจากไม่มีอำนาจต่อรอง โอกาสการค้า การลงทุน การทำธุรกิจจะลดน้อยลง 2.อัตราภาษีที่ไม่เหมือนกัน ผู้นำสหรัฐฯให้เวลาต่อรอง 90 วัน แต่ถึงตอนนั้นก็ยากที่จะรู้ว่าอัตรากำแพงภาษีของแต่ละประเทศจะจบที่เท่าไร ไม่รวมถึงกรณีที่บางประเทศตอบโต้สหรัฐฯ แคนาดาเอาคืนแล้ว ขณะที่ยุโรปยังกลัวอยู่และต้องระมัดระวังเนื่องด้วย ผลกระทบที่อาจเกิดกับอุตสาหกรรมสุรายุโรป3.หากอัตรากำแพงภาษีอยู่ในระดับที่สูงมาก จะเป็นการ “ดิสรัปชัน” ขัดจังหวะอย่างรุนแรง ธุรกิจหลายประเภทอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือหายไป แค่รัดเข็มขัดอาจไม่พอ ต่อมาคนว่างงานจะทำกันอย่างไร ประเทศมีแรงงานมากกว่าการจ้างงาน สิ่งเหล่านี้ย่อมก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ 4.อัตราเก็บภาษีไม่ได้ลงกันพรวดพราด จะอยู่คู่เราไปอีกพักใหญ่เพราะสหรัฐฯมีเป้าหมายปกป้องตลาดของตัวเอง และอยากให้คนเข้าไปลงทุน ในอดีตช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯก็เคยมีกำแพงภาษีที่สูง และกว่าจะลดลงมาเหลือระดับ 1% ถึงเกือบ 0% ในช่วงปี 2543 ก็ใช้เวลากันกว่า 80 ปีในมุมมองส่วนตัวนั้น หนทาง “ประคับประคอง” คือการที่นานาชาติต้องทำงานร่วมกันเพื่อรักษาระบบ WTO ระบบการค้าเสรี และระบบพหุภาคี อย่าให้ระบบล่มแม้ว่าสหรัฐฯจะทิ้งกฎเกณฑ์ไปแล้ว สหรัฐฯเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ก็จริง ทำอะไรก็มีผลกระทบต่อโลก “แต่พวกเราที่เหลือก็ยังมีอยู่” อย่างตอนที่สหรัฐฯถอนจาก TPP หุ้นส่วนแปซิฟิก ก็มีญี่ปุ่นที่แสดงความเป็นผู้นำช่วยสานต่อ นอกจากนี้ ที่ทำได้เพิ่มเติมอีกก็คือการผนึกกำลัง “อาเซียน” หาทางไปทำการค้ากับสหภาพยุโรป ควบคู่ไปกับการทำงานร่วมกันให้มากยิ่งขึ้นระหว่างชาติอาเซียนเพื่อการเพิ่มคุณค่าและการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง.วีรพจน์ อินทรพันธ์คลิกอ่านคอลัมน์ “7 วันรอบโลก” เพิ่มเติม