เข้าโหมดมหาสงกรานต์ เทศกาลแห่งความสุขปีใหม่ไทยฤดูเฉลิมฉลองลองวีกเอนด์ พักผ่อนวันหยุดยาว เดินทางกลับบ้านเยี่ยมพ่อแม่พี่น้อง เข้าวัดทำบุญ ท่องเที่ยวกันตามประสาสังคมไทยเน้นรื่นเริงเฮฮาสาดน้ำกันเย็นฉ่ำ ดับอุณหภูมิร้อนปรอทแตกเดือนเมษายนถนนทุกสายมุ่งออกจากเมืองกรุงสู่ต่างจังหวัดงานราชงานหลวงพักเบรกชั่วขณะ จังหวะผ่อนคลายดีกรีระอุเดือด ภาวะตึงเครียดจากสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองโลกและความขัดแย้งเกมอำนาจการเมืองภายในประเทศไหนจะเหตุภัยพิบัติแผ่นดินไหวตึกถล่ม ยังกู้ความเสียหายได้ไม่หมดอาฟเตอร์ช็อกซ้ำซ้อนอาฟเตอร์ช็อก โจทย์โคตรยากมะรุมมะตุ้ม รุมเร้ากดดันผู้นำหญิงอายุน้อยสุดในทำเนียบนายกรัฐมนตรีไทยอาการไม่ไหวบอกไหว แบบที่ “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯหลุดบ่นดังๆ “หัวจะปวด” กับรัฐมนตรี ต่อหน้ากล้องทีวี นักข่าวทำเนียบฯอ่านปากชัดเจนเป็นจุดอ่อนไหว ธรรมชาติผู้นำเจน Y ที่ไม่อาจกลบอารมณ์เบื้องลึกภายในแม้จะหายใจหายคอโล่งลงมาหน่อย กับข่าวดีเซอร์ไพรส์ เมื่อ “คาวบอย” โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประกาศผ่านทรูโซเชียล สั่งระงับมาตรการรีดภาษีเพิ่มเติม กับเป้าหมายมากกว่า 75 ประเทศยืดเวลาให้อีก 90 วัน เพื่อพยุงเศรษฐกิจโลกปั่นป่วนหนักและหนึ่งในนั้นน่าจะรวมถึงประเทศไทย จังหวะที่ “นายกฯอิ๊งค์” รีบโดดรับนาทีทอง บอกจะได้มีเวลาให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและ รมว.คลัง ที่รับภารกิจเป็นหัวขบวนถือธงไปเจรจาต่อรอง “ยื่นหมูยื่นแมว” กับทีม “ทรัมป์” ได้เตรียมข้อมูล ดีดลูกคิด ประมวลผลกำไร ขาดทุน ให้รอบด้านประเมินอาการผู้นำคาวบอยแตะเบรกเพราะกลัวพังเหมือนกันแต่ก็ยังเผลอชะล่าใจไม่ได้ เพราะเล่นกับอารมณ์ “ไบโพล่า” สไตล์ “โดนัลด์ ทรัมป์” จับทางลำบาก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้รายวันถึงรายชั่วโมงเซอร์ไพรส์มาแบบไม่ทันตั้งลำ ไม่มีเวลาให้ตั้งตัวที่ชัวร์แน่ๆโดยสัญญาณธงของผู้นำสหรัฐฯมันชัดเจน ยกระดับการเปิดแนวรบกับสาธารณรัฐประชาชน จีนเป็น “คู่สงคราม” หลักล็อกเป้าเขย่าสมรภูมิเอเชียตะวันออกอาการเฮี้ยว “คาวบอยทรัมป์” กดปุ่มถล่มกำแพงเมืองจีนด้วยการโขกภาษีมหาโหด 125 เปอร์เซ็นต์ รวมเป็นร้อยละ 145 เป็นยุทธการตอบโต้รัฐบาลปักกิ่งที่สวนหมัดด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯเป็น 84 เปอร์เซ็นต์เกทับกันยิ่งกว่าไพ่โป๊กเกอร์ เบิ้ลกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟันมันคือ “สงครามโลก” ที่ไม่ได้ห้ำหั่นกดด้วยนิวเคลียร์ แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็น “สงครามการค้า” ถล่มกันด้วยขีปนาวุธ “Trump’s reciprocal tariffs” ซัดกันด้วยมาตรการศุลกากรตอบโต้อานุภาพสั่นสะเทือนเศรษฐกิจทั่วโลกเจ๊งวายวอดกันทั่วทุกทวีป มูลค่าความเสียหายหนักกว่าสงคราม โลกครั้งที่ 1 สงคราม โลกครั้งที่ 2 สงครามมหาเอเชียบูรพา รวมกันเสียด้วยซ้ำสหรัฐฯล็อกเป้าจีน เกมบีบให้นานา ชาติเลือกข้างประเทศไทยตกที่นั่งลำบาก ถูกสหรัฐฯและชาติตะวันตกผลักไปอยู่ข้างจีนอย่างแนบแน่น จากปมเด่นชัดในการส่งผู้ลี้ภัยอุยกูร์กลับไปให้รัฐบาลปักกิ่ง ถึงขั้นที่รัฐมนตรีต่างประเทศทีม “ทรัมป์” ประกาศจะแบนวีซ่าเจ้าหน้าที่ทางการไทย เงื่อนไขเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไทยไปอยู่กลางเขาควายแหลมๆศึกมหาอำนาจ ยังไม่นับ “กลโกง” ที่ “ทรัมป์” จ้องไล่ทุบเอาคืนเล่ห์เหลี่ยมการค้าเอาเปรียบ เกมเขี้ยวลากดินสไตล์นักลงทุนจีนใช้ไทยเป็นฐานส่งออก สวมรอยสินค้า “เมดอิน ไชน่า” หลบด่านภาษีเข้าสหรัฐฯสภาพหนังหน้าไฟ ไทยส่อโดนเหมาเข่ง เฉ่งภาษีแทนเงื่อนไขซับซ้อน โจทย์ยากแฝงสมการโคตรยาก ภายใต้บริบทการค้าโลกไม่เหมือนอดีตอีกต่อไป ต่อให้โคตรเซียนในตำนานอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯคนพ่อ ที่อุปโลกน์ตัวเองในตำแหน่ง “ส.ท.ร.” ก็ไม่รู้จะช่วยประคับประคอง “นายกฯคนลูก” ได้แค่ไหน กับแรงกระแทกจากเศรษฐกิจการเมืองโลกหนักหนาสาหัส ในสภาพที่เกมอำนาจการเมืองภายในประเทศกำลังระส่ำหนัก รัฐบาลผสมภายใต้การนำของผู้นำคนสุดท้องตระกูลชินกำลังแกว่งแรง“เสียศูนย์” การประคองดุลเสียงข้างมากในสภาปรากฏการณ์ “อิ๊งค์ เกียร์อาร์” สถานการณ์ที่ “นายกฯแพทองธาร” ใส่เกียร์ถอย ชะลอเกมรุกของพรรคเพื่อไทยในการเร่งเสนอญัตติด่วน ผลักดันร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงฯ หรือเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์เบรกกันหัวทิ่มหัวตำ ลากไปว่ากันใหม่ในสมัยประชุมหน้าออกตัวเนียนๆว่า รัฐบาลมุ่งเรื่องสำคัญเร่งด่วนกว่า ทั้งการรับมือสงครามการค้า การบรรเทาความเสียหายจากภัยพิบัติแผ่นดินไหวหักมุม สวนทางกับจังหวะที่ทีมวิปพรรคเพื่อไทยกระเหี้ยนกระหือรือลุยไฟตามจังหวะหลบแรงต้าน เลี่ยงสถานการณ์อันตราย แนวร่วมคัดค้านการเปิดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ แฝงบ่อนพนันถูกกฎหมายลามทั่วประเทศ ทั้งนักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย องค์กรทางศาสนา ทั้งพุทธ มุสลิม คริสต์ ไปยันโรงพยาบาล ร่อนแถลงการณ์แสดงความไม่เห็นด้วยแนวร่วมจุดติดพรึบพรับ ส่อชนวนไฟม็อบต้านกาสิโนที่ขยับลงถนนกระตุกต่อมผวา อารมณ์แบบที่ผู้นำรัฐบาลฟาดใส่เกมการเมืองสร้างความเข้าใจผิดปมกาสิโน ทั้งๆที่จุดหมายของทีมเพื่อไทยอยู่ที่เอนเตอร์เมนต์คอมเพล็กซ์ เป็นส่วนใหญ่ มุ่งไปที่การโกยรายได้กอบกู้เศรษฐกิจจับอาการหงุดหงิดของ “อิ๊งค์” เหมือนมุ่งเป้าไปที่ฝ่ายค้าน พรรคประชาชน ที่ชิงกระแสขี่รัฐบาล สะท้อนภาพให้เห็นอาการลุกลี้ลุกลนของพรรคเพื่อไทยในการเร่งผลักดันกาสิโนเร่ง “วาระแฝง” มาก่อนความเดือดร้อนประชาชนผู้คนในสังคมพยักหน้าตามทีมส้ม เพราะมองออกด้วยตาเปล่าแต่เอาจริงๆ ไม่ว่าจะกองทัพส้มจะตีปี๊บประจานดังยังไง กระแสสังคม แนวต้านนักวิชาการ องค์กรต่างๆ หรือแม้แต่ม็อบต้านบ่อนพนันถูกกฎหมายที่เคลื่อนอยู่บนถนนจะคึกคักแค่ไหนก็ไม่ได้มีผลแต่อย่างใดกับการสกัด “เรือธงกาสิโน” ที่ลากมาจ่อหน้าสภาจังหวะอ้อยจะเข้าปากช้างอยู่รอมร่อ ถ้าไม่บังเอิญว่า “ด่านสำคัญ” มันติดที่ “ขบวนการสีน้ำเงิน” ที่เบนหัว กลับลำ “เบี้ยว” ในจังหวะเข้าด้ายเข้าเข็มเกมพลิก ท่าทีของค่ายเซราะกราว ภูมิใจไทย ไปยัน “สว.สายบุรีรัมย์” แท็กทีมกันสกัดเรือธงกาสิโนแบบเต็มกำลัง ขวางลำกันมิด แบบปิดน่านน้ำสัญญาณธงชัดๆโบกสะบัดโดย “กุมาร เขากระโดง”อารมณ์ซีเรียส ลีลาจริงจังแบบที่นายไชยชนก ชิดชอบ สส.บุรีรัมย์ เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย อภิปรายเสียงดังลั่นสภา ในฐานะลูกชายของพ่อเนวิน ชิดชอบ และแม่กรุณา ชิดชอบ “ไม่มีวันเห็นด้วยกับกฎหมายกาสิโน”ไม่ต้องแปลเขมรเป็นไทย แปลไทยเป็นเขมรสารจากอาณาจักรเขากระโดง ต่อสายตรงผ่าน “สายเลือด” ระดับลูกชาย “เนวิน” ดีเอ็นเอโคลนนิงในระดับเดียวกับ “ทักษิณ-อิ๊งค์”ไม่มีติ่งให้ต้องเอะใจ ไม่ต้องสงสัยว่า “ซิกสัญญาณแท้” หรือไม่ต่อให้ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าค่ายภูมิใจไทย จะโชว์บทพินอบพิเทา รีบแชตไลน์ไปขอโทษ “นายกฯอิ๊งค์” แสดงความรับผิดชอบโบ้ยเป็นความคิดเห็นส่วนตัว อาการผิดคิวของ “ลูกเนวิน” คนเดียว ไม่เกี่ยวพรรคแต่นั่นก็ไม่อาจหลอกคนของพรรคเพื่อไทยที่ไม่อยากออกลูกเป็นลิง อารมณ์อย่างที่ “เสี่ยอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและ รมว.กลาโหม พ่อบ้านใหญ่ค่ายจันทร์ส่องหล้า ฟาดกลับลูกชาย “เนวิน” แรงๆแกล้งเบิ้ลบลัฟ ถามกลับใครเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยกันแน่เซียนเก๋าเกม รู้ทันเกรียน 2 น. ที่แบ่งบทกันเล่นมาหลายต่อหลายช็อตและทั้งหมดทั้งปวง สถานการณ์มาถึงจุดนี้“เรือธงกาสิโน” โดนสกัด ลากไปต่อลำบากแล้ว แนวโน้มพานไปถึงสถานะแกนนำรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย “เสียศูนย์” การกุมดุลอำนาจ กระทบการถือธงนำขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยมสถานะผู้นำกุมสภาพเสียงข้างมากในสภาไว้ในกำมือไม่ได้เกมลากรัฐบาลไปครบเทอม แทบมองไม่เห็นปลายทาง.“ทีมการเมือง”คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม