สถานการณ์สหรัฐอเมริกากำหนดกำแพงภาษี สร้างผลกระทบไปทั่วโลก บังกลาเทศก็ถูกภาษีสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯในอัตรา 37% ผมยอมรับว่าเป็นการ “Disrupt” ขัดจังหวะทุกสิ่งทุกอย่างแต่เรื่องนี้อยากฝากไว้เป็นข้อคิดสั้นๆว่า ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำลายจังหวะ ปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ส่งผลกระทบขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ทำได้คือการเตรียมตัวเผชิญกับสถานการณ์ นี่คือสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องทำ หากคุณมีความเฉลียวฉลาดเพียงพอก็จะมองเห็นโอกาสรอบตัว และสามารถขยับขยายไปยังสิ่งใหม่ๆนับเป็นคอมเมนต์ชี้ทางที่กระชับและได้ใจความจากศาสตราจารย์เจ้าของโนเบลสันติภาพ “มูฮัมหมัด ยูนุส” ประธานคณะที่ปรึกษาแห่งชาติ หรือจริงๆแล้วคือ “ผู้นำแห่งบังกลาเทศ” ซึ่งได้รับเลือกเข้ามาทำหน้าที่รักษาการกัปตันรัฐนาวา เตรียมเปลี่ยนผ่านการบริหารบ้านเมืองนับตั้งแต่เดือน ส.ค.2567 หลังจากเกิดเหตุการณ์ประชาชนชุมนุมขับไล่ “ชีค ฮาสินา” อดีตนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ จนต้องระเห็จหนีไปอยู่ต่างแดนโดยงานนี้ทีมข่าวต่างประเทศหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ได้มีโอกาสพิเศษในการเข้าสนทนาส่วนตัว (แบบเร่งรีบ) กับผู้นำยูนุส ระหว่างการเดินทางมายังประเทศไทยเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มความริเริ่มอ่าวเบงกอล “บิมสเทค” (BIMSTEC) ที่โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4 เม.ย. ที่ผ่านมา ถามไถ่เรื่องความร่วมมือ จุดอ่อนจุดแข็งของชาวเบงกาลีจากดินแดนที่ขั้นกลางระหว่างประเทศอินเดียกับเมียนมา“แน่นอนว่าชาวบังกลาเทศก็เหมือนกับชนชาติอื่นๆ ที่มีความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ ในภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง มีความเป็นมิตรและโอบอ้อมอารี แต่สิ่งที่ยังขาดอยู่มากคือความสนใจที่จะทำธุรกิจ โดยตอนที่ประเทศเราได้รับเอกราชในปี 2514 สิ่งที่คนคิดก่อนคือ จะทำอะไร จะหางานอะไรทำ”ปัญหาความยากจนอย่างรุนแรง เป็นที่มาของความพยายามหางานทำ เร่งรีบหาสมัครงาน ปฏิบัติตามระเบียบที่บริษัทวางไว้ เลยเป็นที่มาของการถูกมองว่า ชาวบังกลาเทศไม่เก่งในเรื่องธุรกิจ เป็นคนที่ชอบทำงานให้คนอื่น ดังนั้นการจะแก้ปัญหาควรเริ่มไปที่รากฐานปกติแล้วรัฐบาลต่างๆมักใช้วิธี “แจกเงิน” เพื่อแก้ปัญหาความยากจน แต่เรื่องนี้ย่อมไม่ส่งผลดีในระยะยาว เพราะคนจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งความยากจนไม่ได้เกิดที่คน แต่มาจาก “ระบบ” ที่ทำให้คนตกอยู่ในวังวนของความยากจน ในหมู่บ้านต่างๆคนทำงานได้เงินมาก็ใช้หมดไป พอเงินไม่พอ ก็ไปกู้จากเจ้าหนี้นอกระบบ ชดใช้กันไม่จบไม่สิ้น ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของแนวคิด “ไมโครเครดิต” การกู้ยืมต้นทุนต่ำที่ผมทำอยู่ถามว่าเหมือนสอนคนให้รู้จักใช้เงินใช่หรือไม่ เรื่องนี้มองว่าคนใช้เงินเป็นอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่มีเงินเลย ความยากจนมันเป็นแบบนี้ไม่ว่าจะประเทศไหน และคนส่วนใหญ่รับรู้ดีว่า เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องใช้เงินคืน ยืมจากธนาคารก็ต้องจ่ายคืนให้ธนาคาร เพื่อรักษาช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน ไม่ให้ประตูถูกปิดลงพอมาถึงจุดนี้ สิ่งที่จะตามต่อมาคือ การปลูกฝังแนวคิดให้ประชาชนรู้จักการทำธุรกิจ อย่างในพื้นที่ชนบทต่างๆ ผู้คนส่วนใหญ่มักจะเลี้ยงไก่ พอไก่ออกไข่กี่ฟองก็แบ่งกินแบ่งขาย ไม่ได้คิดที่จะตั้งคำถามว่า เรามีไก่อยู่ 5 ตัว ทำไมไม่ลองเพิ่มเป็น 10 ตัวดูล่ะ ทีนี้เราก็จะมีไข่มากขึ้น หาเงินได้มากขึ้นและตามธรรมชาติของคนในการเล่าสู่กันฟังปากต่อปาก พอมีตัวอย่างให้เห็น ก็จะก่อให้เกิดแรงกระตุ้น ต้องการที่จะประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นๆบ้าง กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไปเรื่อยๆนี่คือสิ่งที่เราพยายามดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาขายความสำเร็จอะไร ปล่อยให้ผู้คนนำเรื่องราวไปถ่ายทอดกัน ความเชื่อที่เกิดขึ้นก็จะทรงพลังมากกว่าศาสตราจารย์ยูนุสวัย 84 ปี ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ เจเนอเรชันต่อไปด้วยว่า แนวทางชีวิตถูกวางไว้ว่า ต้องเรียนสูงถึงจะประสบความสำเร็จ มีงานดีๆทำ แต่ผมเคยพูดไว้แล้วว่า “มนุษย์เราไม่ได้เกิดมาเพื่อหางานทำ” มนุษย์โดยธรรมชาติเกิดมาเพื่อเป็นผู้ประกอบการ แต่ที่ต้องมาหางานก็เพราะไม่มีเงิน จึงเป็นที่มาของความพยายามเซตระบบให้เอื้อต่อการเป็นผู้ประกอบการข้อได้เปรียบของความเป็นคนรุ่นใหม่คือ “Connectivity” การเชื่อมโยงถึงกันด้วยเทคโนโลยี ประกอบกับการตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว เห็นกันอยู่เสมอๆว่า พ่อคือคนที่มีมือถือเครื่องแรก แต่ลูกคือคนที่สอนให้ใช้ เราต้องใช้ความได้เปรียบตรงนี้ และเป็นที่มาของความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทยสร้างเครือข่าย แลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างคนรุ่นใหม่ เพื่อนำไปสู่แนวทางการทำธุรกิจที่หลากหลาย พัฒนาศักยภาพของตัวเอง กระตุ้นด้วยแรงบันดาลใจให้พวกเขาสร้างโลกของตัวเองโดยไม่ต้องรอใคร และสุดท้ายในเมื่อคนเราสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็นต้องมาพึ่งพาความช่วยเหลือจากรัฐบาล รอรับเงินบริจาคเพื่อเลี้ยงปากท้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่เสี่ยงและเต็มไปด้วยความไม่แน่ไม่นอน.ทีมข่าวต่างประเทศอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่