เศรษฐกิจแย่ สังคมเริ่มแตกแยก การเมืองมีปัญหาเยอะเป็นสัญญาณชีพของประเทศไทย ที่ ศ.ดร.ชาติชาย ณ เชียงใหม่ อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2560 และผู้ทำวิจัย “ท้าทายใหม่เรื่องประเทศไทยในอนาคต” ร่วมกับ รศ.ดร.สมบัติ กุสุมาวลี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เสนอต่อสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ผ่านการสำรวจแวดล้อมเชิงลึก วิเคราะห์ความสลับซับซ้อนของอนาคต โดยระดมความคิดเห็นของผู้นำสาขาอาชีพที่หลากหลาย ผู้มีข้อมูลความรอบรู้จากภาคส่วนต่างๆ การสร้างและวิเคราะห์ฉากทัศน์แห่งอนาคต และการออกแบบการเมืองไทยที่พึงปรารถนาได้พลิกมุมมองให้เห็นสถานการณ์บ้านเมืองในภาพรวม ปัจจัยหนึ่งเกิดจากแพลตฟอร์มเศรษฐกิจ การเมืองที่ฝั่งตะวันตกตีกรอบให้ทั่วโลก รวมถึงไทยต้องเดินตาม กลายเป็นหอกดาบทำร้ายไทยมาตลอดเป็นระยะ ส่วนปัจจัยภายในเกิดจากความอ่อนแอของสังคมและสถาบันต่างๆ พูดถึงองค์กรไหนสถาบันต่างๆล้วนล้าหลัง มีปัญหาเข้าขั้นวิกฤติมหาอำนาจโลกสแกนละเอียดรู้หมด เข้ามาแทรกแซงนานแล้ว ได้ตามที่มหาอำนาจต้องการอันนี้น่ากลัวมากปัจจัยภายนอก ภายในรุมเร้า สุ่มเสี่ยงรัฐล้มเหลวขอยกตัวอย่างโครงสร้างเศรษฐกิจก็ตกอยู่ในสภาพแบบบัวไม่พ้นน้ำ ทำให้ความสามารถการแข่งขันของไทยลดลงต่อเนื่อง สู้ประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศอื่นๆไม่ได้เหลือเฉพาะด้านท่องเที่ยวเป็นระฆังช่วย แต่ตลาดท่องเที่ยวจากตลาดแมสได้เปลี่ยนไปเป็นตลาดเฉพาะแล้ววิกฤติปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถึงเวลาทุกฝ่ายต้องมานั่งคิดกันว่าประเทศไทยจะไปอย่างไรต่อนับจากนี้รัฐธรรมนูญ 60 (รธน.) ต้องการแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่สภาพปัญหาของประเทศยังไม่ถูกสะสาง ศ.ดร.ชาติชาย บอกว่า รธน.60 ช่วยประคองไม่ทัน เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมมันไม่เปลี่ยนประเทศไทยกลายเป็นโลกกว้างทางแคบรธน.ต้องการให้ขนาดของภาครัฐลดลง แต่ในความเป็นจริงกลับเพิ่มขึ้น ต้องการให้ธรรมาภิบาลเพิ่มขึ้น แต่ดัชนีชี้วัดในปีนี้ลดลงประชาธิปไตยกลายเป็นเขาวงกต ทะเลาะกันไม่กี่กลุ่มภายใต้ 2 ขั้วอำนาจ การกระจายอำนาจเป็นประชาธิปไตยแบบยูเทิร์น แต่ก่อนเสียงเรียกร้องให้ยุบ อบจ.เพราะไม่มีประโยชน์ แต่การเลือกนายก อบจ.ครั้งที่ผ่านมากลับแข่งขันดุเดือด เพื่อเป็นไม้เป็นมือให้พรรคการเมืองมีนักวิชาการ นักการเมือง สังคมมอง รธน.60 วางกับระเบิดเวลา กลายเป็นปัญหาตามมาทั้งรัฐบาล องค์กรอิสระ กกต. ป.ป.ช. สว.บางกลุ่มปะทะกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ การทำหน้าที่ของ สว.ก็ถูกมองในมุมลบ โหวตแบบฝักถั่วไปในทิศทางเดียวกัน ศ.ดร.ชาติชาย บอกว่า รธน.60 เหมือนรัฐธรรมนูญทุกฉบับ วางเงื่อนไขให้มีความสัมพันธ์กัน ในแต่ละองค์กรแต่บุคลากรทางการเมือง บุคลากรองค์กรอิสระ ข้าราชการประจำ ไม่ได้ทำตามอำนาจหน้าที่ตรงกับเจตนารมณ์ของ รธน. เช่น กกต. มีหน้าที่สอดส่องโดยมีผู้ตรวจการไปค้น มีตำรวจไปช่วย แต่กลับไม่ทำอะไร สุดท้ายถูกวิพากษ์วิจารณ์เลือก สว.ฮั้วทั้งประเทศกลายเป็น สว.กับดีเอสไอไปมีปัญหาเกี่ยวกับการตรวจสอบเรื่องนี้อีกหรือฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอกนายกฯ ประธานสภาผู้แทนราษฎรระบุว่าเสนอให้ตัดชื่อคนนอกออก สังคมก็งงทั้งที่เป็นเอกสิทธิ์ของ สส. ตาม รธน. แต่ไปอภิปรายให้ใครเสียหาย ผู้เสียหายก็ฟ้องเอาผิด สส.ฝ่ายค้านได้ ตัวละครที่เป็นนักการเมืองเล่นเกมจนเละไปหมดด่า รธน.ไม่ได้ มันเป็นเรื่องพฤติกรรมของนักการเมือง สว. ก็เช่นกัน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เป็นสถาบัน สว.ควรพูดคุยกันให้เข้าใจต้องรักษาสถาบันไม่ใช่ผลประโยชน์สภาฯก็ถูกวิพากษ์ในทางลบมาตลอด ทั้งที่ระบบรัฐสภาเป็นองค์กรสูงสุด เป็นที่รวมของตัวแทนที่ใช้อำนาจแทนประชาชนแต่พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่เป็น “การเมืองที่ต้องใช้เงิน” งบประมาณแผ่นดินเหมือนหม้อข้าวใบเดียวของประเทศ ถูกเจือจางผ่านโครงการต่างๆ บ้านใหญ่บ้านเล็กรับสัมปทานแบ่งกัน ทำหากินอยู่อย่างนี้และมาทะเลาะกัน ไม่มีใครตรวจสอบ ฝ่ายบริหารจริง ระบบรัฐสภาใช้มา 90 ปีก็ไปได้แค่นี้ต้องปฏิรูปรื้อใหม่ สร้างใหม่มีบางฝ่ายเสนอแก้ รธน.เปลี่ยนรูปแบบให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ยุ่งกับฝ่ายบริหาร มันออกแบบกึ่งประธานาธิบดีอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยรูปแบบที่มาของฝ่ายบริหารต้องเหมาะสมกับประเทศไทย เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างจริงจัง เป็นรัฐบาลมาในรูปแบบที่เหมาะสม และยังมี สส. และ สว.ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รัฐบาลเป็นฝ่ายปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่เป็นรัฐบาลที่แก้ปัญหาแบบนึกอะไรไม่ออกก็พูดเอาตัวรอดไว้ก่อนขอย้ำต้องปฏิรูปประเทศ ไม่ใช่ทหารปฏิวัติที่ผ่านมา รธน.60 ไม่สามารถปฏิรูปประเทศได้สำเร็จทั้งที่เป็นหมวดสำคัญ แต่รัฐบาลยุคนั้นมีเจตนาดีเอางานปฏิรูปไปใส่มือข้าราชการประจำ ให้ระบบราชการทำงานปฏิรูป ราชการที่ไหนจะปฏิรูปตัวเองต้องเป็นบทบาทของฝ่ายการเมืองแก้ รธน.60 เป็นอีกหนึ่งกับดักที่ทำให้แก้ยากและต้องทำประชามติก่อน ศ.ดร.ชาติชาย บอกว่า ถ้าประชาชนอยากแก้ ทำประชามติแก้ รธน.ย่อมผ่านไปได้ ต้องคิดแบบทำให้ประชาชนตื่นรู้ขึ้นมาแก้ รธน. เพื่อกดดันให้รัฐสภาต้องทำงานแต่รัฐบาลที่มาจาก รธน.60 การแก้ไข รธน.ส่วนใหญ่เกิดจากพรรคการเมืองที่ไม่ได้แก้เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการปฏิรูปประเทศ แต่แก้กติกาให้ได้เปรียบคู่ต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้นเองทุกวันนี้เหมือนกับรัฐบาลเป็ดง่อย ป้อแป้ๆไปวันๆ มีอะไรที่รัฐบาลทำสำเร็จสักอย่างไหม เพราะความน่าเชื่อถือมันต่ำ สอดรับกับงานวิจัยชิ้นนี้หากไม่มีปฏิรูปประเทศ ประเทศจะไม่ไปไหน มันน่ากลัวมาก โดยเฉพาะความแตกแยกและการเมืองวนอยู่ในลูปเดิมฉากทัศน์ 10-20 ปี ทั้งที่จะมาเยือน ทั้งรัฐประหาร-สงครามกลางเมือง-รัฐล้มเหลว เกิดขึ้นไม่ได้เมื่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะภาคประชาชน ร่วมกันปฏิรูปประเทศ ศ.ดร.ชาติชาย บอกว่า อดแปลกใจไม่ได้ในสถานการณ์เช่นนี้ทำไมอาจารย์ในมหาวิทยาลัยยังเงียบอยู่ เห็นออกมาเคลื่อนไหวเฉพาะกิจ ค้านนักการเมืองนั่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ ต้านกาสิโนต้านเอ็มโอยู 44นักวิชาการ เจ้าของประเทศต้องลุกขึ้นกดดันให้ฝ่ายการเมืองปฏิรูปประเทศ“ต้องการกลุ่มคนที่สามารถผนึกคนได้หลายเจเนอเรชัน มาเป็นผู้นำร่วม เป็นเวทีที่มีคนหลายเจน สื่อสารกันด้วยภาษาที่ดีของประเทศเป็นการกำหนดทิศทาง เป้าหมายของประเทศโดยการเมืองภาคประชาชน อาทิ แก้กระบวนการยุติธรรมจุดไหนบ้าง ผลักดันออกมาได้อย่างไรโดยมีทีมศึกษา มีทีมเขียนเป็นร่างกฎหมายทำคู่ขนานกับกฤษฎีกายังทำได้ เป็นกฎหมายที่ภาคประชาชนผลักดันเข้าสภา ทำแบบนี้ในทุกมิติไปพร้อมกันแบบสันติวิธี”ทั้งหมดขอย้ำไม่เอารัฐประหาร แต่เชียร์การเมืองภาคประชาชน เป็นกลุ่มผู้นำร่วมหลายวัย หลายสถานะ แบ่งความรับผิดชอบ อาจพัฒนาไปถึงขั้นร่วมกันเป็น “รัฐบาลเงาภาคประชาชน”เหมือนสมัยก่อนมี “กลุ่มเพลินจิต 35” มีคนที่มีบทบาทในสังคม มีใจรักบ้านเมือง ชอบทำงานสาธารณะ ชักชวนคนที่มีความรู้ ความสามารถ นั่งแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประเด็นต่างๆ สรุปข้อมูลส่งให้กระทรวงต่างๆพิจารณา ไม่เอาตำแหน่งแต่ขอใช้ไอเดียช่วยบ้านเมืองวันนี้รัฐบาลอ่อนแอประเทศไปต่อไม่ไหวการเมืองภาคประชาชนต้องลุกขึ้นมาช่วย.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม