เป็นเรื่องการเมืองก็ต้องแก้แบบการเมืองเพราะมีได้มีเสียจึงต้องใช้เรื่องนี้เพื่อให้ได้เปรียบที่สุด โดยเฉพาะฝ่ายที่มีอำนาจ การประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 6 มี.ค.68 ว่าด้วยเรื่องการฮั้วเลือกตั้ง สว.ถึงที่สุดก็เป็นเกมชิงอำนาจระหว่าง “เพื่อไทย”-“ภูมิใจไทย”การประชุมวันนี้ก็เพื่อขอมติที่ประชุมว่าดีเอสไอจะรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษหรือไม่ ใช้เวลายาวนานกว่า 3 ชั่วโมง ซึ่งมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยประเด็นก็คือดีเอสไอมีอำนาจหรือไม่?ประธานในที่ประชุมคือ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีที่น่าจะมี “ธง” อยู่ในใจแล้วว่าจะไปทางไหนหลังจากอภิปรายกันพอหอมปากหอมคอก็ให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน อ้างว่าต้องการฟังเสียงจาก กกต.ที่จะเชิญให้เข้าร่วมชี้แจงในการประชุมครั้งต่อไปใครจะมาก็ได้หรือไม่มาก็ได้เพราะไม่มีสิทธิไปบังคับ เนื่องจาก กกต.เป็นองค์กรอิสระที่รับผิดชอบเรื่องเลือกตั้งโดยตรงนี่คือวิธีทางการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหา!อีกทั้งหากให้มีการลงมติจากการประเมินแล้วไม่ผ่านแน่ เนื่องจากที่ประชุมส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย อ้างว่าไม่มีอำนาจเพราะอำนาจเป็นของ กกต.ผลก็เลยออกมาในรูปนี้การประชุมครั้งต่อไปก็คงไม่ต่างไปจากแนวนี้คือให้ไปศึกษาให้รอบด้านเสียก่อนแล้วก็เก็บเรื่องนี้ดองเอาไว้เพื่อใช้เป็นเกมต่อรองทางการเมือง...ว่าไปแล้วสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนไปจาก “ภูมิใจไทย” ที่เคยมีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่า “เพื่อไทย”แต่วันนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว!เมื่อดีเอสไอเข้ามาเป็นตัวชนสำคัญในการสอบสวนการเลือกตั้ง สว.ที่พบว่ามีการ “ฮั้ว” กันชัดเจน และสามารถเอาผิดกับ สว.และกลุ่มผู้ปฏิบัติการได้จากเอกสารผลการสอบสวนที่ปล่อยออกมานั้นเผยว่ามี สว.เกี่ยวข้อง 138 คน และยังมีลูกนักการเมืองใหญ่แถวอีสานใต้ และเครือข่ายผู้ดำเนินการแม้จะไม่ระบุชัดว่าเป็นใครแต่ก็รู้กันดีว่าใครเป็นใคร เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองไหนหากดีเอสไอรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษก็สามารถดำเนินการเอาผิดได้ทันที ซึ่งมิใช่เฉพาะ สว.เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงฝ่ายปฏิบัติการด้วยสุดท้ายก็จะพาดพิงไปถึงผู้มากบารมีทางการเมืองทั้งในรัฐบาลและนอกรัฐบาล เนื่องจากพยานหลักฐานที่ปรากฏค่อนข้างชัดเจนนี่แหละคือจุดสำคัญที่ทำให้ต้องมีการเจรจาต่อรองชิงไหวชิงพริบกันหากจำกันได้ “ทักษิณ” เคยแซว “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่า “ไม่ต้องรับเป็นพระเอกหรอก” ในการแสดงความเห็นเพื่อคัดค้านไม่เห็นด้วยกับ “เพื่อไทย” ในประเด็นหนึ่งนั่นคงเป็นเพราะหมั่นไส้ที่แสดงตัวจนเกินงามนำหน้าคนอื่นเพื่อเรียกคะแนนนิยมจากวันนั้นถึงวันนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเพราะ “ภูมิใจไทย” ที่มีอำนาจต่อรองสูงกลับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องขอความผ่อนปรนจากอีกฝ่ายการเมืองนั้นมันพลิกได้เสมออย่าลำพองใจเป็นอันขาดฉากทัศน์ต่อไปที่จะได้เห็นด้านหนึ่งก็สามัคคีเพื่อทำงานร่วมกันต่อไป แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายที่เคยเหนือกว่าก็ต้องปฏิบัติตามที่อีกฝ่ายต้องการเพราะมีแต้มต่อที่เหนือกว่ามีคดีความที่จะเอาผิดได้หลังศึกซักฟอกผ่านไปคงได้เห็นการเมืองอีกรูปแบบหนึ่งชัดเจน!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม