วันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) มีการประชุมนัดแรกของปีนี้ เพื่อพิจารณาดอกเบี้ย นโยบายซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 2.25% ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ได้โพสต์ลงโซเชียล ขอให้ ธปท.ลดดอกเบี้ย เพื่อลดภาระประชาชน แต่ สำนักข่าวรอยเตอร์ ไปสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 26 คน เมื่อวันที่ 14-21 ก.พ. เปิดเผยเมื่อเช้าวันจันทร์ว่า นักเศรษฐศาสตร์ 16 คนจาก 26 คน หรือกว่า 60% คาดว่า ธปท.มีแนวโน้มจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% อีก 10 คนคาดว่าจะลดลง 0.25% แนวโน้มระยะยาว นักเศรษฐศาสตร์ 17 คนจาก 23 คน คาดว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ยลงมาอยู่ที่ 2.0% ในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ (การประชุม กนง.ครั้งที่ 3)เหตุผลที่นักเศรษฐศาสตร์เชื่อว่า กนง.จะไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมวันนี้ เพราะ เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 67 ขยายตัวสูงถึง 3.2% สูงสุดในรอบกว่า 2 ปี เงินเฟ้อก็อยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% ธปท. อาจรอดูผลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมทั้งโครงการแจกเงินดิจิทัลหมื่นบาทเฟส 3 ก่อนตัดสินใจนโยบายเพิ่มเติมก็ต้องรอดูสายๆ วันนี้ว่า กนง.จะมีมติออกมาอย่างไร จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 2.25% หรือลดลงมา 0.25% ก่อนหน้ารอยเตอร์โพล ก็มีรายงานของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยว่า เห็นด้วยกับ ธปท.ที่ลดดอกเบี้ยครั้งก่อน และแนะนำให้ ธปท.ปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม เพื่อช่วยปรับปรุงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ และ สนับสนุนเงินเฟ้อ (เงินเฟ้อเพิ่มจีดีพีก็เพิ่ม) รวมทั้ง ทยอยยกเลิกมาตรการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุน เพื่อลดความจำเป็นในการใช้มาตรการแทรกแซงในระยะยาวไอเอ็มเอฟ ได้แนะนำ กระทรวงการคลัง ด้วยว่า ควรเน้นไปที่ การสร้างพื้นที่ทางการคลังใหม่ (Rebuilding Fiscal Space) โดย ใช้จุดยืนทางการคลังแบบขยายตัวลดลง โดย งบประมาณปี 2569 จำเป็นต้องมีการรัดเข็มขัดทางการคลังระยะกลางตามรายได้ เพื่อลดหนี้สาธารณะ และสร้างกันชน (Buffer) ทางการคลังใหม่ กรอบ การคลังของไทยสามารถเสริมความแข็งแกร่งได้มากกว่านี้ ไอเอ็มเอฟ ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เป็นผลมาจาก “จุดอ่อนเชิงโครงสร้าง” ที่มีมายาวนานของประเทศไทยผมเห็นด้วยกับ ไอเอ็มเอฟ ครับ ปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ “เติบโตช้า” มาหลายสิบปี หลังจาก “ยุคโชติช่วงชัชวาล” ในสมัย นายกฯ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เมืองไทยก็ ติดกับดักการทุจริตคอร์รัปชันมายาวนานจนถึงปัจจุบัน ติดกับดักการเมืองน้ำเน่าที่มุ่งกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าชาติบ้านเมือง ติดกับดักโครงสร้างเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่ล้าหลังไม่มีการพัฒนา จุดอ่อนของประเทศไทยคือโครงสร้าง ทั้ง โครงสร้างอำนาจ โครงสร้างระบบราชการ โครงสร้างเศรษฐกิจ ถ้าจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเร็วเหมือนเวียดนาม รัฐบาลต้องกล้าปรับโครงสร้างปลดข้าราชการครั้งใหญ่ ยุบกระทรวงที่ไม่จำเป็น เหมือนอย่างที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ กำลังทำอยู่ในสหรัฐฯเวลานี้เป็นไปได้อย่างไร ประเทศไทยมีประชากร 65 ล้านคน (ข้อมูล ล่าสุด) มีข้าราชการกว่า 3 ล้านคน ในขณะที่ สหรัฐฯมีประชากร 350 ล้านคน แต่มีข้าราชการของรัฐบาลกลาง 2 ล้านกว่าคน เขายังไล่ ปลดกันขนานใหญ่ เพื่อทำให้รัฐบาลเล็กลงแต่แข็งแรงขึ้น ปลดล็อกโครงสร้างอำนาจที่อยู่ในมือข้าราชการประจำซึ่งเป็นตัวฉุดความเจริญของประเทศแทนที่ รัฐบาลเพื่อไทย จะเร่งปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ 2 ปีเศษที่ผ่านมารัฐบาลกลับโทษแต่แบงก์ชาติ ว่า ไม่ลดดอกเบี้ย เลยทำให้เศรษฐกิจไม่ฟื้น แต่คนไทยก็มองออกว่า เป็นเพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่มีประสิทธิภาพต่างหาก ผลสำรวจ“สวนดุสิตโพล” ช่วง 18-21 ก.พ. ระบุว่า ประชาชน 69.50% เห็นว่ามาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของ รัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ แม้จะมีการแจกเงินหมื่นก็ตาม เมื่อถามว่า หากอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เข้ามาช่วย คิดว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ 41.63% ตอบว่าน่าจะเหมือนเดิม สรุปก็คือ วันนี้คนไทยไม่เชื่อมั่นรัฐบาลชุดนี้แล้ว สิ่งสำคัญที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเร่งทำคือ สร้างความเชื่อมั่นโดยรีบด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม