การไขว่คว้าหาความสุขเป็นเรื่องส่วนบุคคล คือสุขใครสุขมันแล้วแต่ความพึงพอใจ หรือเราควรฝากความหวังไว้กับผู้นำประเทศว่าจะเนรมิตความสุขให้ประชาชน ที่ก้มหน้าก้มตาทำงานและจ่ายภาษีทุกบาททุกสตางค์ เพื่อแลกกับหลักประกันสุขภาพจากรัฐในบั้นปลายของชีวิตนักปรัชญาดังในยุคกรีกโบราณ “เอพิคิวรุส” ให้ทัศนะว่า การบวงสรวงเทพเจ้าเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า เพราะไม่มีการดำรงอยู่ภายหลังการตาย ขณะที่ “ความสุข” เป็นเพียงจุดหมายเดียวของชีวิต สมัยนั้นคนส่วนใหญ่ในยุคโบราณค้านหัวชนฝาไม่เชื่อแนวคิดของนักปรัชญาหัวก้าวหน้า แต่ทุกวันนี้ความเชื่อดังกล่าวกลับเป็นมโนคติพื้นฐานของมนุษย์ที่ต่างเชื่อว่าตนเองมีสิทธิที่จะมีความสุขต่างกันก็เพียงแต่แนวคิดของ “เอพิคิวรุส” มองว่า การไขว่คว้าหาความสุขเป็นเรื่องส่วนบุคคล ทว่านักคิดสมัยใหม่กลับเห็นว่า ความสุขเป็นโครงการแบบรวมหมู่ หากไม่มีรัฐบาลช่วยวางแผน, ไม่มีทรัพยากรทางเศรษฐกิจ และงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พลเมืองแต่ละคนก็ไม่อาจค้นหาความสุขส่วนตัวได้มากนัก เรียกว่าฝากความหวังในการสร้างความสุขไว้ที่ผู้บริหารประเทศ หากประเทศถูกฉีกทึ้งจนขาดออกจากกันด้วยสงคราม หรือเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะวิกฤติ และไม่มีระบบดูแลสุขภาพ พลเมืองอย่างเราๆก็มีแนวโน้มที่จะไร้ความสุข“ยูวัล โนอาห์ แฮรารี” เขียน ถึง “สิทธิที่จะมีความสุข” ตามความคาดหวังของมนุษย์ยุคใหม่ไว้ในหนังสือภาคต่อ “Homo Deus” A Brief History of Tomorrow ฉายภาพอนาคตอันใกล้ที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆย้อนไปในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักปรัชญาชาวอังกฤษ “เจเรมี เบนแธม” ประกาศถึงความดีงามสูงสุดว่า ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการมีให้มากที่สุด และสรุปไว้ว่า สิ่งเดียวที่รัฐชาติ, ตลาดและชุมชนวิทยาศาสตร์ ควรตั้งเป้าหมายคือ การเพิ่มความสุขของโลกโดยรวม โดยนักการเมืองควรสร้างสันติภาพ, นักธุรกิจควรอุ้มชูความมั่งคั่ง และนักวิชาการควรศึกษาธรรมชาติเพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้มีชีวิตแสนสุขระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 แม้คนจำนวนมากให้ความสำคัญกับวิสัยทัศน์ของ “เบนแธม” แต่รัฐบาล, บรรษัท และห้องปฏิบัติการต่างๆยังมุ่งเป้าไปที่เรื่องเฉพาะหน้า เช่น ประเทศวัดความสำเร็จจากขนาดของดินแดนในครอบครองของตน, การเพิ่มขึ้นของประชากรของตน และการเติบโตของจีดีพีของตน หาใช่วัดจากความสุขของพลเมืองในประเทศประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น สร้างตัวเองจากการสร้างระบบการศึกษา, ระบบสุขภาพ และสวัสดิการอันใหญ่โต เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ประเทศ มากกว่าจะเพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอยู่ที่ดีของพลเมืองในประเทศเช่นเดียวกับระบบประกันสุขภาพ ปลายศตวรรษที่ 19 ประเทศชั้นนำของโลก เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น เริ่มให้บริการสุขภาพแบบให้เปล่ากับมวลชน รัฐบาลออกเงินสำหรับค่าฉีดวัคซีนให้ทารก, ค่าอาหารสำหรับเด็กวัยเรียน, พวกเขาสูบน้ำออกจากหนองบึง, พ่นยากำจัดยุง และสร้างระบบระบายน้ำเสียให้ชุมชน ทว่าเป้าหมายมิใช่เพื่อทำให้พลเมืองมีความสุข แต่เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของประเทศชาติ เนื่องจากประเทศต้องการทหารและคนงานที่แข็งแรง ผู้หญิงสุขภาพดีเท่านั้นจะสามารถให้กำเนิดทหารและคนงานมากขึ้นแม้แต่ระบบสวัสดิการของรัฐทั่วโลกก็เกิดจากการวางแผนแต่แรก เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ มากกว่าจะคำนึงถึงความสุขของพลเมืองในชาติ และความต้องการของปัจเจกชน ประชาชนส่วนใหญ่ยอมจ่ายภาษีให้รัฐ เพราะเชื่อมั่นว่ารัฐจะช่วยดูแลชีวิตบั้นปลายหลังวัยเกษียณ (ถ้ารัฐไม่ถังแตกซะก่อน)ไม่ว่าการมีความสุขจะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองหรือไม่ และเป็นหน้าที่ของรัฐหรือไม่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความสุขของพลเมืองตน “เอพิคิวรุส” ได้เตือนเหล่าสานุศิษย์ไว้ตั้งแต่สมัยกรีกโบราณว่า การจะมีความสุขแท้จริงถือเป็นเรื่องยาก การหลับหูหลับตาไขว่คว้าหาเงินทอง, ชื่อเสียง และความพึงพอใจ อาจทำให้ทุกข์ยากมากกว่าจะมีความสุข ฉะนั้น ถ้าอยากมีความสุขจริงๆ แนะนำให้กินดื่มอย่างพอเหมาะ และให้ควบคุมความกระหายอยากทางเพศ ในระยะยาวมิตรภาพที่ลึกซึ้งจะทำให้พึงใจและมีความสุข มากกว่าการถึงจุดสุดยอดอย่างไม่บันยะบันยัง!!มิสแซฟไฟร์คลิกอ่านคอลัมน์ “คนดังอะราวนด์เดอะเวิลด์” เพิ่มเติม