ปลัดกระทรวง อว.เผย ม.สยามทำหนังสือชี้แจงคอร์สอบรมหลักสูตร “อาสาตำรวจคนจีน” แล้ว ระบุมหาวิทยาลัยไม่รู้เรื่อง มีบุคลากรมหาวิทยาลัยกระทำโดยพลการ ยันสถาบันไม่ได้มีผลประโยชน์หรือรายได้ใดๆจากคอร์สฉาว ด้านอธิการบดีมหาวิทยาลัยสยามแถลงผลสอบยันมหาวิทยาลัยเป็นผู้เสียหาย สั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยลงโทษบุคลากรและอาจารย์ที่เกี่ยวข้องแล้ว รับกังวลอยู่เรื่องผู้เข้าอบรมจะนำบัตรและเครื่องแบบที่มีโลโก้ตำรวจไปข้องเกี่ยวกับธุรกิจจีนเทากรณีมหาวิทยาลัยสยามจัดโครงการอบรมอาสาตำรวจคนจีน เก็บค่าอบรมหัวละ 38,000 บาท หลังจบหลักสูตรมีการมอบเสื้อกั๊กตำรวจ บัตรอาสาตำรวจ โดยการอบรมนี้มี พ.ต.ท.เกรียงศักดิ์ ช่วงวงศ์ รอง ผกก.สส.บก.น.3 เป็นวิทยากร พ.ต.อ.นิเวชร์ งามลาภ ผกก.สส.บก.น.3 เป็นผู้เซ็นรับรองใบประกาศเกียรติคุณ ภายหลังปรากฏเป็นข่าวฉาว พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. สั่ง บก.น.3 ตั้งคณะทำงานตรวจสอบพร้อมสั่งเด้ง 2 นายตำรวจที่เกี่ยวข้องเข้ากรุ ศปก.บช.น. ส่วนผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่ามีสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน เป็นผู้จัด มีอาจารย์ชาวจีนของ ม.สยาม เป็นที่ปรึกษา อ้างอบรมสมาชิกแจ้งข่าวอาชญากรรมและจราจรเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้ชาวจีนที่อยู่ในไทย ผู้รับการอบรมมี 27 คน เป็น นศ.จีนจากมหาวิทยาลัย 14 คน ที่เหลือ 13 คน เป็นคนจีนนอกสถาบันต้องจ่ายเงินเป็นค่าอบรม ส่วนกรณีมีเอกสารที่ใช้ในโครงการนี้ปรากฏสัญลักษณ์ CIB หรือกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) อยู่ด้วย ทีมประชาสัมพันธ์ บช.ก.ได้ปฏิเสธว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง พร้อมส่งตัวแทนเข้าแจ้งความดำเนินคดีเอาผิดกับกลุ่มบุคคลดังกล่าวที่ สน.ภาษีเจริญ ตามที่เสนอข่าวไปนั้นความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นายศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยสยามทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงมาที่ อว.แล้ว สาระ สำคัญมี 2 ประเด็นคือ 1.มหาวิทยาลัยสยามไม่รับทราบการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปโดยพลการของบุคลากรในมหาวิทยาลัย จะมีการสอบสวนและลงโทษต่อไป และ 2.มหาวิทยาลัยสยามยืนยันว่าการจัดอบรมดังกล่าว มหาวิทยาลัยไม่ได้มีผลประโยชน์หรือรายได้ใดๆจากการจัดอบรม หลังจากนี้ หากสังคมยังมีข้อสงสัยหรือไม่ชัดเจนในประเด็นใด อว.จะเข้าไปหาข้อเท็จจริงตามระเบียบและขั้นตอนต่อไปต่อมาเวลา 15.00 น. ที่มหาวิทยาลัยสยาม นายพรชัย มงคลวนิช อธิการบดีมหาวิทยาลัยสยาม และคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัย แถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีบุคลากรของมหาวิทยาลัยพร้อมด้วยนักศึกษาชาวจีนและชาวจีน 27 คน จัดอบรมอาสาตำรวจภายในมหาวิทยาลัยสยาม เมื่อวันที่ 25-27 ธ.ค.67 ว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นมหาวิทยาลัยเป็นผู้เสียหาย และไม่ได้นิ่งนอนใจ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.68 ผลการสอบออกมาเมื่อวันที่ 5 ม.ค. จากการสอบสวนบุคลากรและนักศึกษาที่เกี่ยวข้องในโครงการดังกล่าวพบว่า 1.การอบรมอาสาสมัครตำรวจบ้านเป็นโครงการจัดขึ้นโดยบุคคลภายนอกที่รู้จักกับฝ่ายต่างๆทั้งเจ้าหน้าที่ และตำรวจ บก.น.3 มีนายลีจาง ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายกิจกรรมนานาชาติของมหาวิทยาลัยสยาม เป็นผู้ดำเนินการ และโครงการดังกล่าวไม่ได้ขออนุมัติจากมหาวิทยาลัยนายพรชัยกล่าวต่อว่า 2.โครงการดังกล่าวมีการใช้สถานที่ภายในมหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. แต่ไม่มีการขออนุญาตใช้สถานที่ ส่วนวันที่ 26-27 เป็นการอบรมนอกสถานที่ 3.หนังสือขอความร่วมมือ ไปยัง บก.น.3 เป็นการร่างจากบุคคลภายนอก มีการลงชื่อนายลีจาง เป็นการใช้ตำแหน่งที่ไม่ได้แต่งตั้งโดยมหาวิทยาลัย ทั้งที่ตามระบบจะต้องลงชื่ออธิการบดี หรือบุคคลที่ได้รับการมอบหมาย และไม่ได้ออกตามสารบบมหาวิทยาลัย เป็นการทำไปโดยพลการ และ 4.เงินที่มีการเรียกเก็บค่าอบรม ยืนยันว่า ไม่มีเส้นเงินเข้ามายังมหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยไม่ได้จ่ายเงินออกไปด้วย รวมถึงของที่แจกผู้ร่วมอบรมเป็นบุคคลภายนอกดำเนินการทั้งหมดอธิการบดี ม.สยาม ยืนยันด้วยว่า มหาวิทยาลัยเป็นผู้เสียหาย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว เป็นการดำเนินการของบุคคลภายนอกโดยพลการที่ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงมหาวิทยาลัย หลังจากนี้ จะประชุมคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยพิจารณาลงโทษทางวินัยกับบุคคลของมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง คือ อาจารย์ 1 คน คือนายลีจาง และบุคลาการ 1 คน ตอนนี้ส่งผลไปยัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม คาดว่าจะมีผลลงโทษใน 1-2 สัปดาห์ และเตรียมดำเนินคดีอาญาและแพ่งในคดีแอบอ้างและใช้สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยด้วยนายพรชัยกล่าวด้วยว่า เอกสารที่ส่งไปยัง บกน. 3 นั้นมีจุดพิรุธหลายจุด เพราะเอกสารไม่มีเลขที่ตั้งมหาวิทยาลัย มีแค่ชื่อถนน เขต ส่วนตราประทับที่ออกจากสารบรรณของมหาวิทยาลัยก็ไม่มี ในเนื้อหามีการใช้คำว่ามหาวิทยาลัยปะปนกับคำว่า วิทยาลัย ปกติแล้วจะใช้แค่มหาวิทยาลัยเท่านั้น และวันที่อบรมเป็นวันที่มหาวิทยาลัยหยุดการเรียนการสอน ปกติจะไม่มีการจัดอบรมในช่วงเวลาที่ปิดเรียน ส่วนวิทยากรที่เป็นตำรวจ จากการสอบถามนายลีจาง บอกว่า รู้จักผ่านคนกลาง เป็นบุคคลภายนอกไม่สามารถเอ่ยชื่อได้ แต่ส่วนตัวและคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยต่างไม่รู้จักตำรวจที่เป็นวิทยากรเมื่อถามว่ามหาวิทยาลัยกังวลหรือไม่ว่าผู้เข้ารับอบรมทั้งหมดจะนำบัตรและเครื่องแบบที่มีโลโก้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปหลอกลวงชาวจีนหรือใช้เกี่ยวกับธุรกิจจีนเทาหรือไม่ นายพรชัยกล่าวว่า รู้สึกไม่สบายใจ แต่เข้าใจว่าผู้ที่จัดอบรมน่าจะมีรายชื่อบุคคลเหล่านี้ มหาวิทยาลัยจะเรียกทั้งหมดตามรายชื่อมาสอบสวนข้อเท็จจริง และที่ผ่านมาทาง มหาวิทยาลัยให้ความร่วมมือการจัดอบรมกับตำรวจมาโดยตลอด ตำรวจจะเป็นคนขอความร่วมมือที่ถูกต้องตามระเบียบ และส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจในพื้นที่ และเป็นการอบรมเรื่องของการจราจรอีกด้านหนึ่งที่ สน.ภาษีเจริญ พ.ต.อ.กิตติพงศ์ พันธ์ศรี รอง ผบก.น. 9 ในฐานะรักษาราชการแทน ผกก.สน.ภาษีเจริญ เปิดเผยว่า เมื่อวันเสาร์ 4 ม.ค.ได้แจ้งข้อกล่าวหากับนายหมิง หลง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสมาคมการค้าวาณิชธุรกิจไทย-จีน ข้อหาใช้เครื่องหมายราชการโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายราชการ พ.ศ.2482 นายหมิงเป็นผู้จัดและชักชวนบุคคลภายนอก เป็นชาวจีน 13 คน มาเข้าอบรมและเก็บค่าอบรม เบื้องต้นเป็นการเข้ามามอบตัวได้ปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นพนักงานสอบสวน โดยนายหมิงให้การภาคเสธ อยู่ระหว่างขยายผลเพิ่มเติมว่ามีบุคคลใดนำสัญลักษณ์ไปใช้โฆษณาชักชวนหรือไม่รรท.ผกก.สน.ภาษีเจริญกล่าวต่อว่า ส่วนชาวจีนที่เข้ามาอบรม 13 คน สอบปากคำไปแล้ว 2 คน ให้การเบื้องต้นไม่ประสงค์แจ้งความกรณีถูกเรียกเก็บเงิน 33,000 บาท จากราคา 38,000 บาท เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่การอบรมจากพัทยา มาเป็นมหาวิทยาลัยสยาม ส่วนที่เหลืออีก 11 คน อยู่ระหว่างประสานเข้ามาให้ข้อมูล มีบางคนเดินทางออกจากประเทศไทยไปแล้ว ส่วนนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชาวจีนที่เข้าอบรม 13 คน และคนไทย 1 คน ส่วนนี้ไม่ได้เรียกเก็บเงิน ขณะที่ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ตัวแทนอธิการบดีของมหาวิทยาลัยสยามเข้าพบพนักงานสอบสวนให้รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่จัดขึ้น ส่วนรายละเอียดในการจัดอบรมโครงการดังกล่าว อยู่ระหว่างการสอบปากคำ และเตรียมประสานข้อมูลกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ว่าเข้าข่ายการกระทำความผิดในส่วนอื่นหรือไม่ หากพบมีการกระทำความผิดเพิ่มเติมก็ต้องดำเนินคดีอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่