ไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้นก็ต้องจอด เพราะกฤษฎีกาคณะใหญ่ มีมติเอกฉันท์ว่า “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ขาดคุณสมบัติไม่สามารถรับตำแหน่งประธานบอร์ดแบงก์ชาติได้เนื่องจากห้ามมิให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำหน้าที่นี้คณะกรรมการชุดใหญ่ 3 คณะอันประกอบไปด้วย คณะกรรมการเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง ซึ่งมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน คณะกรรมการเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินมี “วิษณุ เครืองาม” เป็นประธานและคณะกรรมการเกี่ยวกับการบริหารจัดการภาครัฐที่มี “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เป็นประธานแต่ละท่านล้วนเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ชี้ตรงกันเป็นเอกฉันท์ย่อมชัดเจนและสามารถนำเป็นข้อชี้ขาดได้อย่างเป็นมาตรฐานดังนั้น “กิตติรัตน์” จึงแห้วแม้จะผ่านขั้นตอนการสรรหาแล้วก็ตามความจริงเรื่องนี้ถูกทอดระยะมาช้านานกว่าจะมาถึงจุดนี้ก็ชวนให้สงสัยว่าทำไมรัฐมนตรีคลังไม่นำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.สักทีบัดนี้กระจ่างแล้วทุกอย่าง...รัฐบาล “เพื่อไทย” หวังที่จะให้ “กิตติรัตน์” เข้าทำหน้าที่แม้แบงก์ชาติจะมีกฎหมายกติกาผูกมัดภารกิจเอาไว้มากพอสมควรพูดง่ายๆว่าประธานบอร์ดแบงก์ชาติแทบจะทำอะไรไม่ได้เลยแต่การที่ได้เข้าไปทำหน้าที่นี้ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลยที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาล โดยเฉพาะ 4 เรื่องสำคัญ1.การล้วงเงินสำรองระหว่างประเทศ2.ปลดล็อกความเป็นอิสระของแบงก์ชาติ3.การดำเนินนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่แบงก์ชาติที่คัดค้านมาตลอด แม้กระทั่งล่าสุดยังคัดค้านการแจกเงินเฟส 3 ที่เห็นว่าไม่คุ้มค่า ควรนำเงินไปลงทุนโครงการที่ได้ประโยชน์ดีกว่า4.การยักย้ายถ่ายเทหนี้สินของรัฐบาลให้แบงก์ชาตินี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่รัฐบาลต้องการแต่ไม่สามารถทำได้อย่างใจชอบ ที่สำคัญคือความอิสระของแบงก์ชาติที่ไม่สามารถเข้าไป “ล้วงลูก” ได้อย่างที่ต้องการแน่นอนว่าการที่รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังเสนอชื่อ “กิตติรัตน์” ตั้งแต่เริ่มต้นก็ถูกคัดค้านไม่ต่างไปจากนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตเท่าใดนักแต่คณะกรรมการสรรหาก็ยังดึงดันเลือก (สงสัยเกรงบารมีและอำนาจของรัฐบาล) จึงต้องเห็นชอบเพื่อเอาใจเพราะที่ผ่านมาจนถึงวันนี้นักการเมืองหรือเครือข่ายไม่สามารถเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้แม้ไม่มีกฎหมายห้ามไว้โดยตรงแต่เป็นวิถีปฏิบัติที่ทุกคนต่างทราบกันดี!ว่าไปแล้วการที่ “กิตติรัตน์” ดำรงตำแหน่งนี้ และรัฐบาลไม่กล้าเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบเป็นการดีต่อรัฐบาลเสียอีกหาก ครม.เห็นชอบออกมาแล้วมีการยื่นคำร้องให้ตรวจสอบคุณสมบัติก็จะเกิดปัญหาไม่ต่างไปจาก “เศรษฐา ทวีสิน” ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ที่เสนอชื่อบุคคลที่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี“แพทองธาร ชินวัตร” จึงรอดตัวไปได้...จากนั้นก็ต้องเริ่มกระบวนการใหม่ โดยกระทรวงการคลังและแบงก์ชาติจะต้องเสนอชื่อให้มีการสรรหากันใหม่แน่นอนว่ารัฐบาลคงไม่กล้าเสนอชื่อบุคคลต้องห้ามที่เป็นเครือข่ายเข้าไปอีก เพราะอาจจะเจออะไรที่แย่ไปกว่านี้ได้อย่างที่ “ทักษิณ ชินวัตร” พ่อนายกรัฐมนตรีคุยโต้ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบเทอมไม่มียุบสภา ทุกอย่างราบรื่นไร้แรงต้านคุยโอ่ได้แต่ความจริงมันไม่ได้ราบรื่นอย่างที่พูดหรอกเพราะถ้าเหิมเกริมมากไปก็พลาดได้เหมือนกัน!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม