นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เปิดตัวแคมเปญ นโยบายหลักรัฐบาลในปี 2568 ผ่านทางสื่อสารมวลชนทุกแขนงเน้น เรื่องของคุณภาพชีวิต ปากท้อง ที่อยู่อาศัยของประชาชน อย่างน้อย คนไทยต้องมีบ้านอยู่ เด็กไทยต้องมีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ อย่างเท่าเทียม ใน อดีตรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็เคยมีนโยบาย 1 ทุน 1 ตำบล ให้โอกาสเด็กเรียนดีมีความตั้งใจไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่นเดียวกับโครงการบ้านที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อย ที่รวมๆแล้วเป็นโครงการ นโยบายประชานิยม ซึ่งในต่างประเทศที่เป็น รัฐสวัสดิการ ก็จะบรรจุนโยบายเหล่านี้เป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชนในประเทศถ้าไม่ติดว่าใครจะครอบงำใคร ดูที่ตัวนโยบายอะไรจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับชาวบ้านก็สบายใจไป อย่างเรื่องของการศึกษา อันที่จริงแล้วควรจะกำหนดให้เป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาลด้วยซ้ำ ทุ่มเทงบประมาณให้กับการศึกษาเท่ากับเป็นการพัฒนาประเทศและคุณภาพของประชาชน เมื่อประชาชนมีคุณภาพ ประเทศก็จะมีคุณภาพด้วยครั้งหนึ่งเคยเดินทาง ไปอิตาลี ไปพบนักศึกษาคนไทย แต่เชื้อสายคนจีนยูนนานที่อพยพเข้ามาอยู่เมืองไทย ได้ทุนจาก 1 ทุน 1 ตำบล ไปเรียนประวัติศาสตร์และศิลปะอิตาลี ยังงงๆอยู่ว่าคนไทยในป่าในดอยยังมีโอกาสทางการศึกษาเปิดกว้างขนาดนี้ อีกหน่อยทรัพยากรบุคคลบ้านเราคงเจริญรุ่งเรือง ต่อมาเกิดการยึดอำนาจ ทุนการศึกษาในโครงการเหล่านี้ถูกยกเลิกทั้งหมด คนที่ยังเรียนไม่จบก็เคว้งคว้าง สุดท้ายก็เรียนไม่จบอย่างน่าเสียดายวันนี้ อดีตนายกฯวันนั้นกลับมาแล้ว เข้าใจว่านโยบายในสมัยนั้นที่ยังทำไม่สำเร็จหรือเกือบจะสำเร็จคงจะนำมาปัดฝุ่นกันใหม่หลายโครงการ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ยังหายใจไม่ทั่วท้องคือเรื่องของนักร้องกับนักการเมือง พรรคฝ่ายค้านคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เพราะในท้ายที่สุดแล้ว พรรคฝ่ายค้าน ก็ติดกับดักตัวเองอยู่ดีพรรคร่วมรัฐบาล เป็นเรื่องหนักอกหนักใจ ตราบใดที่ พรรคเพื่อไทย ยังก้ำกึ่งกับจำนวน สส. และบ้านใหญ่ ไม่อย่างนั้นในที่ประชุมสัมมนาพรรคเพื่อไทย อดีตนายกฯทักษิณ คงไม่ปล่อยของออกมาชัดเจนแบบนี้ที่ระบุชัดถึง พรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ร่วมประชุมพิจารณาเกี่ยวกับการออกพระราชกำหนด ไม่พอใจก็ออกไป ก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่อง MOU 44 ต่อมาก็ร่าง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม หรือการเลือกตั้ง สว.ที่ไม่มาตามนัด การเลือกตั้งนายก อบจ. ที่กระทบกระทั่งกันอย่างรุนแรง ความรุนแรงในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เลยเก็บอาการไม่อยู่เมื่อคนหนึ่งอยากให้จบ แต่ไม่จบหรือจบไม่ได้ ต่อสายไปแล้ว คุยกันแล้วอยากให้จบ ก็ไม่จบ ดังนั้น เมื่อไม่จบก็ไม่ต้องจบยอมลืมเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา 17 ปี เพราะอยากให้จบ แต่เมื่อไม่จบก็จะขออยู่อีก 17 ปี คอการเมืองมีการนำประโยคจากปากของอดีตนายกฯทักษิณไปตีความกันทั้งบ้านทั้งเมืองทักษิณกลับมาแล้ว และกำลังจะไปต่อด้วย.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.th คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม