รัฐบาลเปิดโครงการ “คุณสู้-เราช่วย” อุ้มลูกหนี้ 2 ล้านราย ครม.เคาะแก้หนี้ครัวเรือนปรับโครงสร้างหนี้ พักดอกเบี้ยหนี้ “บ้าน-รถยนต์-เอสเอ็มอี” ช่วยลูกหนี้ที่ทำสัญญาสินเชื่อก่อนวันที่ 1 ม.ค.67 หนี้บ้าน-เอสเอ็มอี ไม่เกิน 5 ล้านบาท หนี้รถยนต์ 8 แสนบาท หนี้มอเตอร์ไซค์ 5 แสนบาท ลดภาระผ่อนค่างวด 3 ปี ตัดหนี้ 5,000 บาท รวมใช้เงินแก้หนี้ 77,920 ล้านบาท นายกฯเตรียมแถลงเรื่องนี้ในการแถลงนโยบายรัฐบาล 90 วัน รมว.คลังรับเศรษฐกิจไทยที่ซบเซามากว่า 10 ปี ยังไม่ฟื้นตัว ชัดเจนในขณะนี้รัฐบาลเปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาหนี้ให้ประชาชนที่อยู่ในข่ายได้รับการช่วยเหลือ โดยเมื่อบ่ายวันที่ 11 ธ.ค. กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สมาคมธนาคารนานาชาติ ร่วมกันลงนามบันทึกความร่วมมือและหนังสือแสดงเจตนารมณ์การเข้าร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” แล้วร่วมกันแถลงข่าวมาตรการแก้หนี้ มีการลดการชำระเงินต้นและรัฐกับสถาบันการเงินรับภาระดอกเบี้ยแทนลูกหนี้ 3 ปี หากลูกหนี้ทำได้ตามที่กำหนดนายพิชัย ชุนหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะซบเซามากว่า 10 ปีและยังไม่ฟื้นตัวชัดเจนในขณะนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องเข้ามาช่วยสู้ ช่วยแก้ไขหนี้สินให้กับประชาชน หลักการคือ ปรับลดวงเงินการส่งสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ครึ่งหนึ่งจากที่ส่ง 0.46% โดยนำมาประมาณ 0.23% วงเงิน 39,000 ล้านบาท ขณะที่กระทรวงการคลังจะใช้มาตรา 28 เพื่อให้มีแหล่งเงินของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) โดยปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIF) จาก 0.25% ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 68 ในวงเงิน 38,920 ล้านบาท เพื่อนำส่วนเงินทั้งสองใช้ในมาตรการแก้หนี้ พักดอกเบี้ย จะส่งผลให้ลูกหนี้ที่อยากสู้ ยังมีแรงสู้ได้ ขอยืนยันว่า มาตรการช่วยเหลือการแก้หนี้ครั้งนี้ไม่ได้เป็นการสนับสนุนให้ลูกหนี้เบี้ยวหนี้ ลูกหนี้ที่เป็นหนี้ยังต้องใช้หนี้ แต่การช่วยเหลือครั้งนี้เพราะลูกหนี้มีปัญหาจริงๆ ต้องช่วยให้สามารถสู้ได้ด้านนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า การแก้ไขหนี้ครัวเรือนเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน ถือเป็นพันธกิจหนึ่งของ ธปท. มาตรการแก้หนี้ครั้งนี้จะครอบคลุมลูกหนี้รวมจำนวน 2.1 ล้านบัญชี เป็นลูกหนี้ 1.9 ล้านราย และมียอดหนี้รวมประมาณ 890,000 ล้านบาท โดยมี 2 มาตรการหลักคือ มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถยนต์และเอสเอ็มอีขนาดเล็กให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักภาระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดชำระเงินต้นทั้งหมด ขณะที่ดอกเบี้ยที่พักไว้ตลอดระยะเวลา 3 ปี จะได้รับการยกเว้นหากลูกหนี้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ตลอดระยะเวลาของมาตรการผู้ว่าการ ธปท.กล่าวต่อว่า ส่วนมาตรการที่ 2 “จ่าย ปิด จบ” เป็นการช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นหนี้เอ็นพีแอล แต่มียอดคงค้างหนี้ไม่สูง หรือไม่เกิน 5,000 บาท ลูกหนี้จะต้องเข้ามาเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับเจ้าหนี้ เพื่อชำระหนี้บางส่วน มาตรการ “จ่าย ปิด จบ” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นหนี้ จาก “หนี้เสีย” เป็น “ปิดจบหนี้” เพื่อให้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้เพราะจากการติดตามหนี้ในกลุ่มนี้พบว่า ลูกหนี้บางรายไม่ได้ตั้งใจเป็นหนี้เสีย แต่มีหนี้ค้างอยู่โดยไม่รู้ตัว ทำให้ไม่สามารถกู้หนี้ใหม่ได้น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวเพิ่มเติมถึงรายละเอียดของโครงการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 “จ่ายตรง คงทรัพย์” เป็นการช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีวงเงินหนี้ไม่สูงมาก ให้สามารถรักษาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันทั้งบ้าน รถ และสถานประกอบการไว้ได้ โดยเป็นการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและลดภาระดอกเบี้ย ค่างวดที่จ่ายจะนำไปตัดเงินต้น รูปแบบการให้ความช่วยเหลือ จะเป็นการลดค่างวดผ่อนส่งรายเดือน 3 ปี ลูกหนี้ชำระค่างวดขั้นต่ำที่ปีแรกที่ 50% ปีที่ 2 ที่ 70% ปีที่ 3 90% ของค่างวดเดิม ค่างวดทั้งหมดจะนำไปตัดเงินต้น และจะพักไม่ต้องส่งดอกเบี้ยให้ 3 ปี หากลูกหนี้ปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขได้ตลอดช่วง 3 ปีที่อยู่ภายใต้มาตรการ ทางการจะยกดอกเบี้ยส่วนที่พักไว้ให้ทั้งหมด โดยนำเงินจากการลดเงินนำส่งสมทบ FIDF และ SFIF มาจ่ายแทนครึ่งหนึ่ง ขณะที่สถาบันการเงินจ่ายอีกครึ่งหนึ่งน.ส.สุวรรณีกล่าวด้วยว่า คุณสมบัติลูกหนี้ที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้คือ ลูกหนี้ที่มีสถานะหนี้ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 เป็นหนี้ที่ค้างชำระเกินกว่า 30 วัน แต่ไม่เกิน 365 วัน หรือลูกหนี้เป็นหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ได้รับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ใน 4 ประเภทดังนี้ 1.ลูกหนี้สินเชื่อบ้าน บ้านแลกเงินวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อบัญชีต่อธนาคาร 2.สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถยนต์ วงเงินไม่เกิน 800,000 บาท ต่อบัญชีต่อธนาคาร 3.สินเชื่อเช่าซื้อ/จำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ วงเงินไม่เกิน 50,000 บาท 4.สินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี วงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท หากต้องการให้รัฐบาลรับภาระดอกเบี้ยแทน หลังจากการพักหนี้ 3 ปี ลูกหนี้จะต้องทำตามเงื่อนไขของการเข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้ไม่ทำสัญญาสินเชื่อเพิ่มเติมในช่วง 12 เดือนแรกที่เข้าร่วมมาตรการและส่งหนี้ตามกำหนดผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. ยังกล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการที่ 2 “จ่าย ปิดจบ” เป็นการช่วยลูกหนี้รายย่อยที่มีหนี้เสียและยอดหนี้ไม่สูง ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากหนี้เสียเป็นปิดจบหนี้ ให้ลูกหนี้สามารถเริ่มต้นใหม่ได้ สำหรับลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีสถานะค้างชำระเกินกว่า 90 วัน (NPL) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 มีภาระหนี้ต่อบัญชี ไม่เกิน 5,000 บาท ไม่จำกัดประเภทสินเชื่อ สามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากกว่า 1 บัญชีลูกหนี้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการภายใต้โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” สมัครเข้าร่วมได้ที่ https://www. bot.or.th/khunsoo ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2567 เวลา 08.30 น. ถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2568 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ BOT contact center ของ ธปท. โทร. 1213 หรือ call center ของสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการและกดเบอร์ต่อ 99อีกด้านที่ทำเนียบรัฐบาล วันเดียวกัน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ ที่ทำสัญญาสินเชื่อก่อนวันที่ 1 ม.ค.67 จำนวน 3 ประเภท ได้แก่ 1.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้แก่ สินเชื่อบ้าน/สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ ไม่เกิน 800,000 บาท สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และ/หรือสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์ ไม่เกิน 500,000 บาท สินเชื่อธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีสถานะเป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลไม่เกิน 5 ล้านบาท สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ 100,000 บาท หรือ 200,000 บาท สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล 20,000 บาท สินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับ ทั้งนี้ในส่วนของรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น ลดภาระการผ่อนชำระค่างวด เป็นระยะเวลา 3 ปี ในปีที่ 1 ผ่อนชำระค่างวด 50% 70% และ 90% ตามลำดับของค่างวดที่ชำระจะนำไปตัดเงินต้นทั้งหมดเพื่อให้ลูกหนี้ปิดหนี้ได้เร็วขึ้นและดอกเบี้ยจะพักการชำระไว้ในช่วงระยะเวลามาตรการ2.มาตรการลดภาระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลที่มียอดหนี้ไม่สูง เช่น ลูกหนี้และประเภทสินเชื่อ เป็นลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่เป็นเอ็นพีแอลและมีภาระหนี้คงค้างไม่เกิน 5,000 บาท ครอบคลุมสินเชื่อทุกประเภทที่กู้ในนามบุคคลธรรมดา มีรูปแบบการให้ความช่วยเหลือและเงื่อนไข เช่น การปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนโดยลดภาระให้ลูกหนี้จ่ายชำระ 10% ภาครัฐรับภาระ 45% และสถาบันการเงินรับภาระ 45% ของภาระหนี้คงค้างทั้งนี้ แหล่งเงินนั้นมาจากเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) ของธนาคารพาณิชย์ ที่ได้รับการละเว้นจากการปรับลดอัตรานำส่งเงินฯ จำนวน 39,000 ล้านบาทและเงินงบประมาณ ตาม ม.28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 เพื่อชดเชยให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจ 6 แห่ง จำนวน 38,920 ล้านบาท ส่วนมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ขยายการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุมไปยังลูกหนี้ของนอนแบงก์ เนื่องจากกลุ่มนี้มีความเปราะบางและมีหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง3.มาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางเพิ่มเติมของสถาบันการเงินของรัฐ วัตถุประสงค์เพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง อื่นๆ เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการหาบเร่แผงลอยซึ่งจะไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มลูกหนี้ ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีครอบคลุมลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจในการรักษาวินัยทางการเงินของลูกหนี้ในส่วนของแหล่งเงินให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารอิสลาม (ไอแบงก์) ใช้จ่ายจากเงินที่ได้จากการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนเอสเอฟไอเอฟจาก 0.25% ต่อปี เป็น 0.125% ต่อปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี 68 ทั้งนี้จากการปรับลดเงินนำส่งกองทุนฯ คาดว่าเงินนำส่งจะลดลง 8,092 ล้านบาทน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือว่าเรื่องนี้เป็นข่าวดี มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางอื่นของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อให้แก้ไขปัญหาหนี้สิน โดยเฉพาะการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืนขึ้น ในวันที่ 12 ธ.ค.จะมีการแถลงนโยบายรัฐบาล 90 วันจะมีเรื่องดังกล่าวด้วย ส่วนเรื่องการลดภาระการชำระหนี้และดอกเบี้ยผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ เน้นการตัดเงินต้นและยกเว้นดอกเบี้ยเมื่อลูกหนี้ได้ทำตามเงื่อนไข เพื่อให้ลูกหนี้สามารถรักษาทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ และเอสเอ็มอี รวมถึงการให้โอกาสลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสีย (NPL) ที่มียอดหนี้ไม่เกิน 5,000 บาทสามารถปิดหนี้ได้ ได้มีการสำรวจมาแล้วนายกฯกล่าวต่อว่า สำหรับลูกหนี้ที่มียอดไม่เกิน 5,000 บาทรับการปรับโครงสร้างหนี้ได้เพื่อให้สามารถปิดบัญชีหนี้ได้ สามารถเคลียร์เครดิตปรับปรุงประวัติการชำระหนี้ด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่อไปในอนาคตได้ นอกจากนี้จะมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเปราะบางเพิ่มเติม ทั้งลูกหนี้ที่มีประวัติการชำระหนี้ดี เพื่อให้กำลังใจในการรักษาวินัยการเงินการคลังต่อไปและลูกหนี้ที่มีปัญหาการชำระหนี้เรื้อรังด้วย สำหรับมาตรการการช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (นอนแบงก์) ด้วยการลดภาระการผ่อนชำระค่างวดเหลือ 70% และลดอัตราดอกเบี้ย 10% เช่น จากอัตราดอกเบี้ย 25% ต่อปี ลดเหลือ 15% ต่อปีเท่านั้น กระทรวงการคลังจะแจกแจงรายละเอียดต่อไปอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่