ข้อกล่าวหา “ควบคุมครอบงำหรือชี้นำ” กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับพรรคการเมือง และนักการเมืองไทยในยุคปัจจุบัน ล่าสุดบุคคลผู้ไม่ต้องการออกนาม ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง ให้ยุบพรรคเพื่อไทย ฐานปล่อยให้อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ควบคุมพรรค และให้ตัดสิทธิการเมืองร้อนถึงนายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาตอบโต้ว่าการที่บุคคลจะให้คำปรึกษาหรือข้อเสนอแนะ เป็นเรื่องปกติในวงการเมือง ข้อหาครอบงำเกิดขึ้นในยุครัฐประหาร จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยมีเป้าหมายสกัดพรรคเพื่อไทย นายชูศักดิ์บอกว่าไม่กังวลอะไรที่มีคนร้องให้ยุบพรรค ถึงเวลาที่ต้องทบทวน ก.ม.พรรคใหม่ข้อกล่าวหาที่ว่าเรื่องการ “ครอบงำพรรค” เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งประกาศใช้ในยุครัฐประหาร คสช. เพื่อสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย น่าจะเป็นเรื่องจริง เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนั้นระบุว่าพรรค การเมืองต้องเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำหรือถูกชี้นำโดยบุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ในช่วงเวลานั้น พรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหาว่าครอบงำกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายลูกออกมาตามรัฐธรรมนูญ จึงมีบทบัญญัติ 2 มาตรา ห้ามมิให้พรรคปล่อยให้คนที่มิใช่สมาชิกเข้าควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำพรรค มีโทษถึงยุบพรรค อีกมาตราหนึ่งห้ามคนที่ไม่ใช่สมาชิกครอบงำพรรค มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้ที่ต้องโทษ “เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง” ถือเป็นมหันตโทษ เปรียบเทียบได้กับโทษประหารชีวิตทางการเมือง เพราะห้ามไม่ให้สมัคร สส.และตำแหน่งอื่นๆ รวมทั้งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองตลอดชีวิต เป็นโทษที่สืบเนื่องมาจากข้อกล่าวหาควบคุม หรือครอบงำพรรคการเมือง ตามรัฐธรรมนูญฉบับ คสช.การห้ามไม่ให้พ่อกับลูกปรึกษา หารือซึ่งกันและกัน ทั้งส่วนตัวและการบริหารประเทศเป็นการฝืนธรรมชาติของมนุษย์ ผลการสำรวจความเห็นประชาชน โดยนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์ ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นายก รัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากนายทักษิณ กลุ่มตัวอย่าง 59.01% ตอบว่าเป็นไปไม่ได้ 15.42% ตอบว่าไม่น่าเป็นไปได้ นี่คือธรรมชาติมนุษย์มีกลุ่มตัวอย่าง 37.79% แนะนำนายทักษิณว่าอย่าดำรงตำแหน่งใดๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ ในฐานะพ่อ-ลูก 28.58% แนะว่าอย่าดำรงตำแหน่งใดๆ แต่ให้คำปรึกษาอยู่หลังฉาก 26.95% ปล่อยให้นายกฯ เป็นอิสระ.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม