ประเทศไทยตกอยู่ในระบอบตุลาการธิปไตยอธิปไตยขององค์กรอิสระที่ปกครองประเทศศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข รัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดมุมคิดต่อปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ถูกตั้งข้อสังเกตฝ่ายอนุรักษ์นิยมหวั่นไหวอนาคตใหม่ก้าวไกลคือประชาชน ระแวงบ้านจันทร์ส่องหล้าในจังหวะที่ไร้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ไร้นายกรัฐมนตรี เมื่อพรรคก้าวไกลถูกยุบ นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดตำแหน่งนายกรัฐมนตรรี บรรยากาศคล้ายๆประเทศไทยถูกรัฐประหาร แม้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้โหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เรียบร้อยแล้วโดยปัญหาใหญ่ที่เห็น คือการเมืองมีเสถียรภาพ แต่เป็นการเมืองของความไม่แน่นอน คาดเดาไม่ได้ ไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น มีการใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้อง ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่เป็นนัยของทางการเมืองกรณียุบพรรค มีผู้โต้แย้งพอสมควรเป็นตัวทำลายสถาบันการเมือง ยุบพรรคไม่ควรทำ ส่วนความผิดที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคลก็ดำเนินการกันไป โต้แย้งแบบนี้เยอะ สุดท้ายจบลงด้วยปัญหาเดิมๆ ตั้งแต่ยุบพรรคไทยรักไทยจนถึงกรณีของนายเศรษฐา คดีนี้ก็คล้ายคดีของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ในแง่ที่ต้องเปิดพจนานุกรมตัดสินคดีทำกับข้าว“รอบนี้มีคำถามอยู่เยอะ ตกลงนายพิชิต ชื่นบาน อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ผิดหรือไม่ผิด ซึ่งไม่ได้ระบุชัด กลายเป็นนายเศรษฐาอย่างไรก็ผิด ทำให้หลายฝ่ายเห็นแย้งในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่พอสมควรปกติเมื่อไม่เหมาะสมถอดชื่อนายพิชิตออกก็จบ เหมือนในต่างประเทศนายกฯ ตั้งคนที่อาจมีปัญหา พอถอนชื่อออกไปก็จบ ตั้งคนใหม่แต่ไทยกลายเป็นผิดหมด จึงขอยกคำพูด บิล คลินตัน เคยพูดว่า เรากำลังแข่งขันหาตัวประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ไม่ได้หาคนที่เป็นโป๊ป”ฉะนั้นคดีการเมือง โดยนัยมันเป็นคดีการเมือง แต่อาศัยกระบวนการทางกฎหมาย ที่ถูกสร้างขึ้นเสมือนหนึ่งเป็นกระบวนการเพื่อควบคุมฝ่ายการเมืองตามทฤษฎีประชาธิปไตยมี 3 เสาหลัก รัฐบาล-รัฐสภา-ศาล วันนี้เพิ่มมาอีก 1 เสาหลัก คือ องค์กรอิสระ อย่าไปเพิ่มกองทัพเข้ามาเป็นเสาที่ 5 ทีเดียว แค่นี้ความสัมพันธ์เชิงอำนาจก็ไม่สมดุลแล้วองค์กรอิสระมีอำนาจสูงมากชี้เป็นชี้ตายได้กลายเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ใช่เฉพาะกรณีของประเทศไทย มีบางประเทศก็ใช้อำนาจขององค์กรอิสระแบบนี้ เป็นเรื่องใหญ่ที่จุดกำเนิดของชุดความคิดอย่างนี้ สะท้อนความหวาดระแวงของชนชั้นนำ อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่านักการเมืองมีปัญหา เป็นตัวปัญหา ภาวะอย่างนี้เรียกว่าตุลาการธิปไตย ไม่ใช่ตุลาการภิวัตน์วันนี้ตกลงใครถ่วงดุลองค์กรอิสระที่มีอำนาจสูงมาก“อำนาจการเมืองทั้งหมดอยู่ภายใต้องค์กรอิสระ ซึ่งอยู่ในวาระยาวนาน นั่งอยู่ในตำแหน่งจนรากงอก ขนาดนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญยังกำหนดเพดานห้ามเกิน 8 ปีควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้โครงสร้างองค์กรอิสระ เช่น มีวาระอยู่ได้แค่ 5 ปี ลดอำนาจ ลดบทบาท ไม่ให้เกิดภาวะเกินดุลอำนาจสถาบันทางการเมืองแม้สภาพการเมืองมีปัญหา มันก็เดินหน้าไปได้ ไม่สะดุดเกิดวิกฤติใหญ่ เพราะมีความสมดุลของอำนาจในเชิงสถาบันหากปล่อยแบบนี้ต่อไป ระบบเกินดุลอำนาจทั้งหมดแขวนไว้ที่องค์กรอิสระ ต้องไม่ลืมว่ายุคหนึ่งอำนาจชุดนี้แขวนไว้ที่กองทัพ วันนี้เครื่องมือที่เกินดุลใหญ่ คือองค์กรอิสระ-กองทัพอาการชี้เป็นชี้ตายไม่ต้องทำรัฐประหาร ทำแล้วดูดี เป็นการใช้อำนาจล้มรัฐบาลที่ดูเนียนมาก”อยากเปลี่ยนแปลงการเมืองเร็ว รัฐประหารโดยกองทัพอยากเปลี่ยนให้ดูดีมีกฎหมายรองรับ ก็ใช้องค์กรอิสระ หันไปดูรากเหง้าพรรคเพื่อไทยที่มีอดีตนายก รัฐมนตรีหลายคน เผชิญชะตากรรมทางการเมืองในลักษณะนี้หมด แปลรหัสทางการเมืองอย่างไร ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า ด้านหนึ่งเห็นตัวบุคคลล้มระเนระนาดไปกับคำชี้ขาด อีกด้านหนึ่งสถาบันการเมืองล้มระเนระนาดไปกับคำชี้ขาดสุดท้ายการควบคุมการเมือง วันนี้ “ปีกอนุรักษ์นิยม” ผ่านตัวละครที่เป็นผู้ฟ้อง ทั้งหมดเป็น “ปีกขวาจัด” เชื่ออย่างเดียวว่าต้องคุม ต้องจัดการด้วยมาตรการเข้มงวด เด็ดขาด มันเป็น “เผด็จการ” อีกรูปแบบหนึ่ง อยู่ในภาวะของอำนาจเกินดุล นับเป็นเรื่องที่ใหญ่มากถึงได้บอกตอนต้นว่าถ้าแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายลูกขององค์กรอิสระ จะฝ่าด่านวุฒิสภาอย่างไร พรรคการเมืองที่คุมวุฒิสภาต้องตอบว่าจะอยู่ในเงื่อนไขนี้ต่อไปหรือไม่“ปีกขวาจัด” ดูเป็นคำที่ใหญ่กว่า “อนุรักษ์นิยม” ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า ปีกขวาไม่ได้เป็นอนุรักษ์นิยมอย่างเดียว แต่ผสมผสานความเป็นจารีตนิยม และความคิดแบบสุดโต่ง เห็นได้ผ่านตัวละครบางคนของ สว.ชุดเก่าเล่นการเมืองสุดโต่งจัดการอีกฝ่ายหนึ่งให้เด็ดขาดฉะนั้นขอย้ำว่า ถ้าเราเชื่อมิติจริยธรรมเป็นหลักใหญ่อย่างเข้มงวดเอาจริยธรรมเป็นไม้บรรทัด สะท้อนชุดความคิดอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง พอถึงวันเลือก สส. ก็ควรนิมนต์เจ้าอาวาสเป็น สส.แทน ที่บริสุทธิ์กว่านักการเมืองหลักจริยธรรมนักการเมือง ควรมี 2 ก. คือ “ไม่กิน-ไม่โกง” ที่เหลือจากตรงนั้น การเมืองก็จัดการกันเองได้ปีกขวาจัดซึมลึกบ่อนเซาะไปทุกองค์กร ประเทศไทยมีโอกาสเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า พวกเขาประสบปัญหาใหญ่ คือไม่ชนะเลือกตั้งส่วนพรรคภูมิใจไทยที่เริ่มมีฐานเสียง วันนี้ต้องตอบให้ได้เหมือนกันว่า ในอนาคตจัดเฉดสีทางการเมืองอย่างไร เป็นอนุรักษ์นิยมในระดับไหน หรือสวิงไปสู่อนุรักษ์นิยมขวาจัดตามปกติระบอบประชาธิปไตยเปิดพื้นที่หมด ทั้งขวาสุด-ขวากลาง-ซ้ายกลาง-ซ้ายสุด อาจมีพรรคที่อยู่ตรงกลางระหว่างซ้าย-ขวา ยกเว้นพรรคที่เสนอความคิดสุดโต่ง เช่น การรัฐประหารหรือยึดอำนาจรัฐด้วยกำลังอาวุธ สมมติไม่เกิดรัฐประหาร ระบบพรรคการเมืองพัฒนาได้ จัดพื้นที่ทางการเมืองได้ มันเป็นโอกาสของประเทศฉะนั้นในภาวะการเมืองปัจจุบัน ยังถูกตรึงอยู่กับที่ น่าหดหู่ที่ทำอะไรไม่ได้ถ้าวุฒิสภาไม่เอาด้วย ต่อให้มีเสียงเรียกร้องจากประชาชน เมื่อถึงเลือกตั้งอีก ตั้งรัฐบาลได้มันก็มีความง่อนแง่น ไม่รู้วันไหนฝ่ายขวาจัดจะฟ้ององค์กรอิสระอีก“จำได้หรือไม่ 9 ปี หลังรัฐประหาร ปี 57 ผู้นำทหารหรือผู้นำรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ในการเลือกตั้งของรัฐประหาร ถูกฟ้องกี่คดีผ่านองค์กรอิสระปรากฏว่าไม่เคยมีคดีไหนต้องถูกลงโทษ แต่ทำไมพรรคที่มาจากการเลือกตั้งถูกฟ้องทีไร ตายทุกที มันทำให้การเมืองมีปัญหา สะท้อนตาชั่งถูกมองไปในทางลบ”ปีกขวาจัดทำงานเข้มข้นเต็มรูปแบบ ปีกก้าวหน้าเผชิญผลลบทางคดีตลอด ตอกย้ำขัดหลักนิติธรรม นิติรัฐ เกิดปรากฏการณ์แบบนี้บ่อยครั้งเข้า ตอกย้ำความขัดแย้งในสังคมอย่างไร ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า ภาวะที่เกิดขึ้นตามหลักจิตวิทยาการเมือง เรียกว่า “ความอึดอัดคับข้องใจ” เมื่อเกิดภาวะเช่นนี้ไปเรื่อยๆ มันเป็นความน่ากลัวเป็นระเบิดทางการเมืองตัวอย่างระเบิดการเมืองใหญ่ที่สุด คือบังกลาเทศ ต่อสู้ระหว่างคนรุ่นใหม่กับรัฐบาลที่พยายามคงสิทธิประโยชน์บางอย่างไว้คงเดิม ก่อนหน้านี้ก็เห็นปรากฏการณ์การเมืองในหลายประเทศ เป็นข้อเตือนใจ...…คนที่มีอำนาจ–ปีกขวาจัด–ชนชั้นนำที่เชื่อว่ากลุ่มเหล่านี้จะทำอะไรก็ได้ สอยใครก็ได้ เพราะมีเครื่องมือจัดการทางการเมือง ใครมีปัญหา ฟ้องเสร็จ มีคนรับลูกเบ็ดเสร็จ ขอใช้คำตรงๆว่า ยื่นดาบให้ตัดคอ และถูกตัดคอมาแล้วเป็นระยะๆฉะนั้นขอเตือนการใช้อำนาจเกินดุลขององค์กรอิสระ มันมีคำถามในเชิงมิติเวลา มันมีจุดสิ้นสุดหรือไม่ หากให้เป็นไปแบบนี้เรื่อยๆศูนย์กลางอำนาจรัฐจากทำเนียบรัฐบาลก็ไปอยู่ที่องค์กรอิสระ.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ "วิเคราะห์การเมือง" เพิ่มเติม