นิทานเรื่องนี้ขึ้นต้นว่า ครั้งหนึ่งนานมาแล้วในแว่นแคว้นไกลโพ้น ขึ้นชื่อเป็นแว่นแคว้นแห่งความสุข ราษฎรเดินเจอหน้ากันมีแต่รอยยิ้มที่มาของความสุข เริ่มจากเมื่อพระธิดาของพระราชาประสูติ ทรงเป็นเด็กหญิงที่งดงามที่สุด ไม่มีหญิงใดในโลกเทียบได้ ตลอดเวลา พระธิดายังทรงมีแต่พระรอยยิ้มวันเวลานี้ดำเนินไป 18 ปี มหรสพแห่งรอยยิ้มก็พลันหาย ต้นเหตุที่ไม่มีใครรู้ องค์หญิงทรงหยุดยิ้มอย่างฉับพลันเดิมทีนั้นผู้คนที่มีทุกข์ขอเพียงได้มาเห็นพระพักตร์องค์หญิง ความทุกข์จะหาย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่ระดับสะเทือนแผ่นดิน พระราชาทรงป่าวประกาศให้ใครก็ได้ ถ้าทำให้องค์หญิงยิ้มได้เหมือนเดิมตามสูตรนิทาน สเปกแรกควรเป็นเจ้าชายรูปงาม พระราชา ก็จะทรงยกเจ้าหญิงให้มีผู้คนมากมายเรียงหน้าเข้ามาอาสา เรื่องตลก นิทานสนุก ละคร มายากล กายกรรม ไปถึงการร้องรำทำเพลง องค์หญิงก็ยังทรงมีพระพักตร์เรียบเฉย ขณะที่ทุกคนหมดหวัง พระเอกของเรื่องก็เปิดตัวออกมาเขาทูลพระราชา “ข้าเป็นคนต่ำต้อย มาจากต่างเมือง และข้อสำคัญ ข้าไม่มีเรื่องอะไรมาเล่า”ไม่มีทางเลือกอื่น พระราชาทรงจำยอม ชายหนุ่มเริ่มต้นถามองค์หญิง “เหตุใดจึงไม่ทรงยิ้ม”เจ้าหญิงลังเล แล้วก็ตรัสตอบ “วันหนึ่งข้าเดินเล่นในอุทยาน มีผู้หญิงโฉมงามคนหนึ่ง นางชื่นชมข้ายืดยาว ก็เหมือนทุกๆคน แล้วหญิงงามคนเดียวกันก็เปลี่ยนท่าทีเป็นโศกเศร้า ร้องไห้”“ข้าถาม เจ้าร้องไห้ทำไม?” หญิงงามตอบ “เพราะความจริงในโลกนี้มีอยู่ว่า เมื่อเวลาผ่านนานเนิ่น องค์หญิงก็จะแก่เฒ่า ใบหน้าที่งามก็จะเหี่ยวย่น”คำพูดเช่นนี้องค์หญิงไม่เคยได้ยินจากใคร ทรงถามหญิงงาม มีวิธีไหนที่จะทำให้ความงามคงอยู่ตลอดไป หญิงงามบอกว่า “ก็ง่ายๆ ขอแค่พระองค์ไม่ทรงยิ้ม เพราะเวลายิ้ม ริ้วรอยตีนกาจะค่อยๆปรากฏ”ชายหนุ่มฟังแล้วค่อยๆทูลว่า เคยเดินทางหลายประเทศ หญิงรัก สวยรักงามเป็นเรื่องธรรมดา องค์หญิงไม่ทรงยิ้มไม่ทรงผิด คนผิดคือตัวการ ที่เขาเดาว่า หญิงงามคนนั้น คือเทพเจ้าแห่งความทุกข์แล้วชายหนุ่มก็เอื้อนเอ่ย “ออกมา ปรากฏตัวเถิด ออกมาให้เราดูหน้าอัปลักษณ์ของเจ้าเถิด”หญิงงามปรากฏตัวออกมา ท้าทายว่า ถ้าใครคนหนึ่งยืนยันว่ารักเจ้าหญิง ยอมสละชีวิตให้ เจ้าหญิงก็จะได้รอยยิ้มคืน สิ้นเสียงนั้น โลกทำท่าจะหยุดหมุน พระราชาทรงจำเป็นต้องอยู่เพื่อปกครองบ้านเมืองผู้คนหันเข้าหาชายแปลกหน้า ชายหนุ่มทูลองค์หญิงว่าเคยเตร็ดเตร่ไปเจ็ดย่านน้ำ เจอหญิงงามนับไม่ถ้วน ไม่เคยเจอหญิงงามเท่าองค์หญิง ข้าตายก็ไม่เสียดายชีวิต หากองค์หญิงทรงยิ้มให้ข้าเห็นสักครั้งคำหวานจริงใจปานนั้น ทำให้เจ้าหญิงทรงยิ้มอานุภาพแห่งรอยยิ้ม หว่านโปรยความสุขไปถึงทุกคน แล้วปาฏิหาริย์ก็ตามมา เทพเจ้าแห่งความทุกข์ ตัวการก็สลายหายตัวในอากาศ ตามสูตรนิทาน ชายหนุ่มได้แต่งงานกับเจ้าหญิงอ่านนิทานจบ ผมก็นึกถึงบางบ้านเมืองที่เคยขึ้นชื่อ ดินดำน้ำชุ่ม ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ครั้งหนึ่งไม่นานซักเท่าไหร่ มีเสียงเล่าลือไปไกลว่า เป็นสยามเมืองยิ้มมาถึงตอนนี้ พอมีข่าว ท่านเจ้าเมืองคนที่เคยเอาน้องสาวเป็นนายกฯ จนต้องหนีคุกไปอยู่เมืองนอก จะคิดเอาลูกสาวมาเป็นนายกฯอีกคน...ชาวเมืองก็ได้แต่เป็นห่วงว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหนูน้อยที่ถูกเลี้ยงอย่างเจ้าหญิง เออเหรอ! กับชีวิตชาวบ้านไม่มีประสบการณ์ ไม่มีวี่แววจะนำพาบ้านเมืองได้ พูดตรงๆคนที่กำลังทำงานยังเข้าตาตรงใจชาวบ้านมากกว่าพอฟังข่าวนี้ ผมมองรอบๆตัว เริ่มหาคนยิ้มไม่ได้ เป็นห่วงจริงๆ นะครับ สยามจะกลายเป็นเมืองลืมยิ้มเหมือนในนิทานไปอีกเมือง.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม