การซื้อขายวุฒิการศึกษา “ในประเทศไทย” กลับมาเป็นประเด็นร้อนขึ้นอีกครั้ง เมื่อ “นักเคลื่อนไหวทางสังคมชื่อดัง” ถูกกล่าวอ้างเป็นผู้จัดหาวุฒิปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเอกชนก่อนตรวจสอบข้อเท็จจริงพบ “อาจารย์” มีส่วนทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบกลายเป็นความอื้อฉาวสะเทือน “แวดวงการศึกษาไทย” แต่ว่าสิ่งนี้ก็มิใช่เรื่องใหม่คงเป็นปัญหาเรื้อรังมาตลอดโดยเฉพาะการซื้อขายวุฒิ ป.ตรี และ ป.โท ที่มีความสำคัญต่อการสมัครงาน ทำให้คนพยายามปลอมวุฒิการศึกษามาอย่างต่อเนื่องนี้ ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจร คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มรภ.บ้านสมเด็จเจ้าพระยา บอกว่าเรื่องนี้คงต้องขอย้อนไปเมื่อ 20 ปีก่อน “กระบวนการซื้อใบปริญญา” เริ่มเกิดมาจากในประเทศยุโรปโดยเฉพาะใบปริญญาของมหาลัยในสหรัฐอเมริกาที่เป็นที่ชื่นชมทางสังคมไทยมาก เพราะช่วยการันตีสามารถเข้าทำงานในบริษัทชั้นนำได้ ทำให้คนไทยพากันไปเรียนนำมาสู่ช่องโหว่ของการซื้อ-ขายวุฒิในสถานบันต่างๆตามมา ผศ.ดร.สิงห์ สิงห์ขจรเนื่องจากสมัยก่อนระบบการตรวจสอบ “แหล่งที่มาของวุฒิทำได้ยาก” เพราะไม่มีอินเตอร์เน็ตเหมือนทุกวันนี้ ส่งผลให้หน่วยงานในไทยไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า “สถาบันออกใบปริญญามีสภาพใด” ก่อนมาปรากฏภายหลัง ที่นิยมซื้อกันนั้นบางส่วนเป็นมหาลัยห้องแถวตั้งอยู่ในย่านที่ไม่น่าจะมีสถาบันการศึกษาขนาดใหญ่ได้เลยแล้วส่วนใหญ่มักใช้คำว่า “สถาบัน (College)” ซึ่งบางแห่งเปิดดำเนินการถูกกฎหมายเพียงแต่ไม่ได้รับการยอมรับคุณวุฒิจากประเทศนั้น ในส่วนการซื้อวุฒิผ่าน “มหาวิทยาลัย (university)” มักเป็นมหาลัยเล็กๆชอบใช้ชื่อใกล้เคียงมหาวิทยาลัยดัง เพื่อให้หลงผิดคิดว่าผ่านการรับรองวิทยฐานะจากหน่วยงานตามกฎหมายในประเทศนั้นถัดมาช่วงราว 10 ปีที่ผ่านมา “การซื้อ–ขายวุฒิปริญญาในต่างประเทศ” เริ่มพัฒนาทางการตลาดด้วยการเสนอขายแบบแพ็กเกจให้เลือก อย่างเช่น “จ่าย 3,000 เหรียญสหรัฐฯ” มีสิทธิรับเพียงใบปริญญาพร้อมทรานสคริปต์รายละเอียดวิชาเรียน “จ่าย 3,500 เหรียญสหรัฐฯ” รับใบปริญญาตรี ทรานสคริปต์ และชุดครุยกลับบ้านถ้าหากเพิ่มเป็น “4,000 เหรียญสหรัฐฯ” ก็จะได้ซูวะเนียร์ (souvenir) อันเป็นของที่ระลึกไม่ว่าจะเป็นสมุด ปากกา ธงประจำสถาบัน เสื้อกีฬา เพื่อให้นำไปถ่ายในสตูดิโอกับใบปริญญาปลอมๆเรื่องนี้สำหรับ “ผู้จบการศึกษาในต่างประเทศ” สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) จะเป็นหน่วยงานในการตรวจสอบ “รับรองวุฒิการศึกษาที่เรียนจบ” จากสถาบันการศึกษา หรือมหาวิทยาลัยที่ได้รับรองวิทยฐานะจากหน่วยงานตามกฎหมายในประเทศนั้นๆ เพื่อให้มีคุณสมบัติเข้ารับราชการไทยได้ เพราะปริญญาบัตรจากต่างประเทศจะใช้สมัครงานราชการต้องเป็นสถาบันการศึกษาได้รับรองวิทยฐานะจากรัฐบาล หรือสมาคมวิชาชีพในประเทศนั้น “กพ.ไม่ได้เป็นผู้รับรองวิทยฐานะประเทศต่างๆ” แต่จะใช้ความร่วมมือส่งข้อมูลให้กระทรวงต่างประเทศ “ตรวจสอบรายชื่อสถาบันการศึกษา” ที่ได้รับการรับรองนั้นอันเป็นตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ม.8 (10) ให้อำนาจ กพ.กําหนดเกณฑ์วิธีการเพื่อรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิอย่างอื่น และ ม.13 (11) ให้อำนาจรับรองคุณวุฒิของผู้ได้รับปริญญา ประกาศนียบัตรวิชาชีพ หรือคุณวุฒิ เพื่อประโยชน์ในการบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือนทว่าระหว่างนั้น “ประเทศไทย” ก็เริ่มลักลอบขายปริญญาปลอมของมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการถอดแบบปริญญาบัตรฉบับจริงตั้งแต่มัธยมศึกษา ปวช. ปวส. ป.ตรี ป.โท และ ป.เอก อันมีให้เลือกครบเซต “ประกาศขายโจ๋งครึ่ม บนโลกออนไลน์” แต่ถ้าตรวจสอบจากมหาวิทยาลัยจะไม่พบชื่อบุคคลนั้นอยู่ในระบบทะเบียนสาเหตุที่นิยมซื้อกันเพราะบางคนต้องการปริญญานำไปอัปเกรดให้สามารถเข้าสมัครงานในหน่วยงานต่างๆแต่ในทางกลับกันเรื่องนี้หลายหน่วยงานกลับไม่มีการตรวจเช็กต้นทางในการได้มาซึ่งใบปริญญาบัตรด้วยซ้ำทำให้ต้นปี 2567 “ตำรวจไซเบอร์” บุกทลายครือข่ายทำวุฒิการศึกษาปลอมขายออนไลน์ของสถานศึกษาชื่อดังทั้งรัฐ และเอกชน “ผู้ก่อเหตุ” มีการศึกษาใบวุฒิแต่ละสถาบันอย่างละเอียดมาก เพราะหากไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจะไม่สามารถแยกความแตกต่างของวุฒิการศึกษานั้นได้ว่าเป็นของจริง หรือปลอม รูปแบบถัดมาคือ “ซื้อปริญญาบัตรออกโดยมหาลัย” ด้วยการให้ผู้ซื้อสมัครเข้าเป็นนักศึกษาใหม่ของมหาลัย และลงทะเบียนเรียนถูกต้องตามระเบียบทุกประการ เพียงแต่จะไม่ปรากฏตัวในห้องเรียนที่เรียกว่า “จ่ายครบจบแน่” แต่กรณีนี้ก็ทำได้ไม่ง่าย เพราะหลักสูตรมีรายวิชาเยอะอย่างน้อยต้องมีอาจารย์สอนวิชาบังคับ 5 ท่านทั้งยังต้องมีอาจารย์สอนวิชาทั่วไปอีก 10 กว่าท่าน “คนรับทำต้องมีอำนาจในมหาลัยระดับสูง” สามารถเคลียร์กับผู้สอนออกเกรดให้ครบตลอดหลังสูตรนั้นๆ ดังนั้น จึงมักทำในระดับ ป.โทหรือ ป.เอก เพราะมีรายวิชาบังคับค่อนข้างน้อยราว 6-7 วิชา “เน้นทำวิทยานิพนธ์” ทำให้อาจมีผู้ที่เกี่ยวข้องในหลักสูตรไม่เกิน 10 คนเท่านั้น“ยิ่งถ้าหากผู้ดูแลหลักสูตรสามารถควบคุมผู้สอนได้ก็ย่อมมีโอกาสทำง่ายขึ้นเพียงแต่กรณีนี้ผู้ซื้อวุฒิจำเป็นต้องรอนานถึง 2 ปี เพื่อให้ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ มิใช่ว่าเดินถือเงินมาแล้วก็ซื้อวุฒิกลับบ้านได้ เพราะปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ มีระบบตรวจดีกว่าในอดีตทำให้การปลอมแปลงวุฒิการศึกษาทำได้ยากขึ้น” ผศ.ดร.สิงห์ ว่า สิ่งนี้นำมาซึ่ง “จ่ายครบจบแน่เวอร์ชัน2” ด้วยวิธีการปลอมแปลงเอกสารย้อนหลังแก่ “ผู้ซื้อวุฒิ” เพื่อให้มีตัวตนในระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยโดยที่ไม่ต้องเข้าเรียนจริง “เรื่องนี้ผู้ทำได้ต้องเป็นบุคลากรฝ่ายรับผิดชอบงานด้านทะเบียน” จึงจะสามารถแก้ไขข้อมูลย้อนหลังในระบบของมหาวิทยาลัยได้นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ “ลักไก่ใส่ชื่อผู้ซื้อวุฒิ” ก่อนการเสนอชื่อต่อที่ประชุมคณะบริหารมหาลัย เพื่อพิจารณานักศึกษาจบหลักสูตร 2-3 พันคน/ปี “กรณีนี้แม้ทำได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะเมื่อผ่านคณะบริหารมหาลัยแล้วต้องเสนอการประเมินต่อสภาวิชาการ และสภามหาวิทยาลัยที่จะมีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาร่วมพิจารณาด้วยตอกย้ำปัจจุบันว่า “การซื้อขายปริญญาบัตร” ล้วนเป็นการหลอกลวงทั้งสิ้นจาก “บุคลากรในการศึกษาบางคน” ด้วยวิธีหลอกทำเสมือนจริงจ่ายเงินแล้วออกบัตรนักศึกษาใหม่ “ก่อนปล่อยให้รอเก้อ” ส่วนใหญ่ผู้ตกเป็นเหยื่อจะเป็นผู้ประกอบธุรกิจไม่มีคุณวุฒิทางการศึกษา ทำให้ต้องการมีเพื่อใช้ในทางสังคมต่อยอดธุรกิจสุดท้ายแล้วแม้รู้ว่า “ถูกหลอกก็ไม่แจ้งความ” เพราะสมคบคิดร่วมกันทำผิดปล่อยให้ผู้นั้นลอยนวลหลอกคนอื่นไปเรื่อยๆ “เช่นนี้คนจะซื้อวุฒิปลอมควรใคร่ครวญให้ดี” หากตรวจพบสิ่งที่สร้างมาจะกลายเป็นสูญเปล่า ในส่วนหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ก็ควรตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าทำงานอย่างเคร่งครัดว่าเรียนจบจริงหรือไม่ประเด็นในกรณี “นักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรี” ปกติมหาลัยต้องตรวจเช็กจากโรงเรียนของนักศึกษาใหม่จบมาจริงหรือไม่เสมอ ใช้เวลา 1-2 ปี “หากไม่ผ่านการจบมัธยมปลาย ปวช. ปวส.” ก็ต้องพ้นสภาพการเป็นนักศึกษานั้นทันที เช่นเดียวกับนักศึกษาใหม่ในระดับ ป.โท และ ป.เอก ก็ต้องมีการตรวจเช็กลักษณะเดียวกันแม้แต่เรียนจบหากพบว่า “ปลอมวุฒิสมัครงาน” มหาลัยถูกอ้างสามารถเพิกถอนวุฒิได้ เพราะมีเคสเมื่อ 10 ปีก่อนนักศึกษาใหม่มหาลัยแห่งหนึ่งปลอมวุฒิ ม.6 เข้าเรียนระดับ ป.ตรี แถมเรียนจบ ป.โท ภายหลังพบปลอมวุฒิ ม.6 ทำให้ต้องถูกเพิกถอนวุฒิทั้งหมด และหน่วยงานทำสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล หรือหลอกลวงมีผลสิ้นสุดลงด้วยแต่กรณีเช่นนี้ “หน่วยงานเอกชน” มักไม่ตรวจสอบส่งผลให้กลายเป็นช่องโหว่ใช้วุฒิปลอมสมัครงานเกิดขึ้นให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ยกเว้นหน่วยงานราชการ “มักตรวจเช็กประวัติบุคคลเข้ารับราชการย้อนหลังเสมอ” ในกรณีปรากฏพบภายหลังใช้วุฒิปลอมผู้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการพลเรือน “ขาดคุณสมบัติ” ก็ต้องให้ออกจากราชการไปย้ำว่าการปลอมแปลงวุฒิการศึกษา หรือเอกสารใช้เพื่อศึกษา หรือสมัครงานนั้นล้วนเป็นความผิดทางอาญาต้องถูกไล่ออก และถูกดำเนินคดี “ไม่ควรเสี่ยง” เพราะคนหาเงินกับเราก็พยายามโฆษณาชวนเชื่อทำได้จริงแต่เราก็ไม่ควรยอมจ่ายเงินไปกับสิ่งที่ผิดกฎหมายนั้น.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม