ใกล้ถึงจุดอวสานสำหรับ “ธุรกิจอาบ อบ นวด” นับแต่อินเตอร์เน็ตย่างก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือให้บรรดาเด็กสาวเปิดห้องให้บริการรับงานตรงผ่านออนไลน์ ไม่ต้องผ่านมาม่าซังเสียค่าหัวคิวเรื่องนี้ทำให้ “เด็กให้บริการออกจากตู้กระจกโชว์” หันสู่การขายบริการผ่านออนไลน์ที่เรียกว่า “ไซด์ไลน์” ส่งผลให้อัตราการเข้าใช้บริการของลูกค้าลดน้อยลง กลายเป็นผลกระทบต่อ “สถานบริการอาบ อบ นวด” เริ่มถดถอยล้มระเนระนาดใกล้ล้มหายตายจากไปทีละน้อยด้วย “เจ้าของกิจการ” มีที่ตั้งอยู่ในทำเลทองแนวรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นถนนเพชรบุรี รัชดาภิเษก พระราม 9 ทยอยถอนตัวล้างมือจาก “ธุรกิจอ่าง” เปลี่ยนที่ดินนำมาขายให้ผู้ประกอบอสังหาริมทรัพย์ในราคาซื้อขายค่อนข้างสูงเพื่อสร้างผลกำไรในที่ดินแทนนี้ ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ให้ข้อมูลว่าตอนนี้ธุรกิจอาบ อบ นวด ค่อนข้างลดน้อยถอยลง “แต่ยังไม่ถึงล้มหาย ตายจากไปเสียทีเดียว” อาจจะเป็นรูปลักษณะถูกแทนที่ด้วยธุรกิจอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะจุดที่ตั้งทำเลทองอย่างถนนเพชรบุรี รัชดา พระราม 9 ปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินสูงขึ้นมาก “เจ้าของที่ดิน” จึงต้องการขายนำเงินไปทำธุรกิจอื่นไม่อยากทำธุรกิจนี้แล้วก็ได้ถ้าย้อนดูต้นกำเนิด “อาบ อบ นวด” ก่อเกิดครั้งแรกสมัยสงครามเวียดนามในปี 2512 “ทหารอเมริกันมาตั้งฐานทัพในไทย” เมื่อพักรบก็ออกมาปลดปล่อยเที่ยวในตัวเมืองกรุงเทพฯ ที่มีเขตเมืองสิ้นสุดบริเวณประตูน้ำ ก่อนที่จะมีการพัฒนาทำถนนเพชรบุรีตัดใหม่เชื่อมต่อออกไปยังถนนสุขุมวิท 71 และถนนรามคำแหงเช่นนี้ริมถนนเพชรบุรีตัดใหม่ 2 ข้างทาง จึงยังเป็นพื้นที่ว่างเปล่าทำให้ผู้ประกอบการเริ่มมาเปิดบาร์ ไนต์คลับ อะโกโก้ “เพื่อต้อนรับทหารอเมริกัน” แล้วก็มีการให้บริการอาบน้ำสไตล์ตุรกีก่อนพัฒนากลายเป็นขายการบริการร่วมปรากฏว่า “ลูกค้าเข้าใช้บริการล้นหลาม” ทำให้นักธุรกิจเงินหนาสนใจลงทุนกันมากมายนับแต่นั้น “สถานบริการอาบ อบ นวด” ก็ขยับขยายออกมายังถนนพระราม 9 รัชดา เนื่องจากบริเวณนี้บางส่วนเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้เช่าราคาถูก “นักธุรกิจ” ต่างเข้ามาเช่าทำอาคารพาณิชย์เปิดเป็นสำนักงานเป็นจำนวนมาก “สถานบันเทิง” ก็ตามมาให้บริการรองรับกับนักธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่นี้ด้วยต่อมาในปี 2530 “ญี่ปุ่น” เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในไทย “สร้างฐานผลิตสินค้า” เพื่อการส่งออกไปสู่ประเทศชาติตะวันตกมากมาย แต่ด้วยวัฒนธรรมคนญี่ปุ่นนิยมนั่งดื่มร้องเพลงนำมาซึ่ง “ร้านคาราโอเกะ” ก่อกำเนิดขึ้น “บนถนนธนิยะจำนวนมาก” อันเป็นถนนเชื่อมต่อระหว่างถนนสีลมกับถนนสุรวงศ์สิ่งนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ “สถานประกอบการร้านอาบ อบ นวด และร้านคาราโอเกะ” มีการเจริญเติบโตขยายตัวไปทั่วกรุงเทพฯ และภูมิภาคต่างๆของประเทศไทย ตามการสำรวจกิจการอาบ อบ นวดในปี 2547 มีอยู่จำนวน 390 แห่ง และในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 527 แห่งทั่วกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 35% หรือปีละ 3.4%แล้วในปี 2561 เติบโตอยู่ที่ 602 แห่ง ถ้าพิจารณาทั้งเขตปริมณฑลอาจมี 1,000 แห่ง นับรวมสถานที่นวดไม่มีใบอนุญาตอาจมากกว่า 2,000 แห่ง ในสถานประกอบการอาบ อบ นวด 1 แห่ง อาจมีผู้ให้บริการ 50 คน หรือเป็นผู้ให้บริการรวม 5 หมื่นคน สมมติรายได้คนละ 1,500 บาท 1 คนทำงาน 3 ครั้ง/วัน จะเป็นเงิน 8.2 หมื่นล้านบาทต่อปีแต่ผลศึกษาปี 2550 อาบ อบ นวดมีมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท หากถือตามประมาณการปี 2560 โดยทั่วไปเจ้าของสถานที่น่าจะได้ 50% ราว 4.1 หมื่นล้านบาท สมมติต้องจ่ายส่วย หรือให้บริการฟรีคนมีสี 30% คงเป็นเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท แต่เดือน ธ.ค.2559 จัดเก็บภาษีได้ทั่วประเทศ 10.22 ล้านบาท หรือทั้งปีเป็นเงิน 122.64 ล้านบาท กระทั่งในช่วงก่อน “โควิด-19” เทคโนโลยีการสื่อสารเริ่มเข้ามาทำให้รูปแบบให้บริการเปลี่ยนไป “ขายบริการทางออนไลน์” เพราะง่ายโดยไม่จำเป็นต้องมีนายหน้า หรือถูกหักค่าตัวจากร้าน เพียงแค่มีโทรศัพท์มือถือก็สามารถติดต่อซื้อขายบริการผ่านโปรแกรมไลน์แล้ว “ผู้ซื้อบริการ” ก็ไม่ต้องเดินทางไปที่สถานที่ตั้งอาบ อบ นวดด้วย“ยิ่งหลังโควิด-19 คลี่คลาย ธุรกิจอาบ อบ นวด กลับซบเซามากกว่าเดิม ซึ่งสถานบริการขนาดใหญ่หลายแห่งจำเป็นต้องปิดลง เพราะปรับตัวไม่ทันสายป่านไม่ยาวพอแล้วด้วยราคาที่ดินก็เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะในที่ตั้งทำเลดีๆ จนเลือกเลิกกิจการขายที่ดินให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ หรือพัฒนาใช้ประโยชน์อื่นแทน” ดร.โสภณ ว่าตอกย้ำข้อเปรียบเทียบอย่างโรงแรม 3 ดาวทั่วไปมีอัตราการเข้าพัก 60% หากมีห้องพัก 100 ห้อง และมีรายได้สุทธิอยู่ที่ 1,000 บาท ก็จะเป็นเงินเดือนละ 1.8 ล้านบาท/เดือน เช่นเดียวกับกรณีอาบอบนวดมี 100 ห้อง หากได้ค่าห้องสุทธิ 600 บาท/ห้อง แต่มีคนใช้บริการวันละ 1 รอบ จะได้เงิน 1.8 ล้านบาท/เดือนเหมือนกันแต่ว่ารายได้ทางอื่นอย่างเช่นอาหารเครื่องดื่ม น่าจะได้มากกว่าโรงแรม ดังนั้นในชั้นนี้โอกาสที่อาบอบนวดจะล้มหายตายจากไปจึงยังมาไม่ถึงหากยิ่ง มีการผสานระหว่างการเป็นโรงแรมกับการเป็นโรงนวด การเป็นร้าน Spa ชั้นค่อนข้างดีก็ยิ่งจะมีโอกาสมากขึ้นในการดำรงอยู่อย่างไรก็ตาม หากราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตั้งอยู่ในทำเลดีๆ ก็น่าจะขายกิจการทิ้งได้ เช่นกรณีโรงนวด หรือโรงแรมสร้างรายได้สุทธิเดือนละ 1.8 ล้านบาท หรือปีละ 21 ล้านบาทก็จะมีมูลค่า 270 ล้านบาท ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ 8% หากที่ดินที่ตั้งมีขนาด 1.5 ไร่ก็เท่ากับที่ดินราคา 4.5 แสนบาทต่อตารางวาหากราคาที่ดินเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านบาทต่อตารางวา “การขายกิจการทิ้งจะดีกว่า” ด้วยเหตุอาจไม่ต้องยุ่งยากในการทำธุรกิจนี้ หรืออาจนำเงินไปทำธุรกิจอื่นไม่ว่าจะเป็นโรงแรม สำนักงาน หรืออาคารชุดที่อยู่อาศัย อย่างเช่นห้วยขวาง รัชดาภิเษก พระราม 9 เพราะเป็นพื้นที่ที่มีทำเลดี ราคาซื้อขายค่อนข้างสูง เพราะดูการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินทำเลหลัก พบว่า ในปี 2537 รัชดาภิเษก-ห้วยขวางซื้อขายกันราคา 2 แสนบาทต่อตารางวาผ่านมาในปี 2566 ซื้อขายราคา 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา หรือเพิ่มขึ้น 6.1% พระราม 9-ห้วยขวางในปี 2537 ซื้อขายกัน 1.65 แสนบาท มาปี 2566 ซื้อขาย 6.2 แสนบาทต่อตารางวา หรือเพิ่มขึ้น 4.7%เมื่อเป็นเช่นนี้ “อาบ อบ นวดหลายแห่ง” เลือกที่จะขายที่ดิน อย่างอาบ อบ นวด ชื่อดังถนนรัชดา ประกาศปิดตัวต้น เม.ย.2567 เพราะธุรกิจหลังโควิดไม่ค่อยดี แต่ทำเลตั้งดีทำให้เจ้าของต้องการขายที่ดิน และเมื่อปี 2564 “อาบ อบ นวด ย่านปิ่นเกล้าประกาศขาย 470 ล้านบาท” สาเหตุจากเจ้าของสูงอายุไม่มีผู้สืบทอดกิจการย้ำก่อนหน้านี้เคยเปรียบเทียบ “ประมาณการรายได้กิจการอาบอบนวดแห่งหนึ่ง” มีห้องอาหาร สนุ้กเกอร์ ห้องนวด ถ้าสมมตินับเฉพาะห้องนวดโดยประมาณว่ามีอยู่ราว 200 ห้อง เป็นอาบอบนวดจะมีมูลค่า 1,764 ล้านบาท (315,000 บาท/ตรม.) แต่เปิดเป็นอพาร์ตเมนต์จะมีมูลค่า 400 ล้านบาท (71,429 บาท/ตรม.) ส่วนมาเป็นโรงแรมจะมีมูลค่า 1,022 ล้านบาท (182,500 บาท/ตรม.) ด้วยเหตุนี้หากยังคงมีสถานอาบอบนวดถูกต้องตามกฎหมายก็จะทำให้เกิดผลดีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้บริการมีความมั่นใจในความปลอดภัยทั้งสุขภาพ ชีวิต และทรัพย์สิน ลดปัญหาการข่มขืนคดีทางเพศ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ตกเป็นเหยื่อนอกจากนี้การแต่งงานไม่พร้อมก็จะไม่เกิดขึ้นในระหว่างที่ยังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบชีวิตครอบครัวก็อาจใช้บริการนี้ได้ และจะมีครอบครัวเมื่อมีความพร้อมมากขึ้น ทั้งปัญหาการแตกร้าวในครอบครัวอาจลดน้อยลง สำหรับคู่สมรสที่มีรสนิยมทางเพศไม่เท่ากันจะสามารถไปใช้บริการภายนอกได้ทั้งยังสามารถประกันสินค้าได้ว่า “ตรงปกมีคุณภาพ” อันมีตัวกลาง-เชียร์แขกไม่สูญเงินเปล่าแน่นอน ส่วนลูกค้าผู้ใช้บริการมีหลากหลายทั้งไทย และต่างประเทศที่เข้ามาท่องเที่ยว หรือทำธุรกิจที่ยังต้องการท่องเที่ยวลักษณะนี้อยู่อีกมาก สังเกตได้จากจังหวัดท่องเที่ยวหลักสถานบริการก็เริ่มกลับมาคึกคักมากขึ้นแล้วนี่คือสถานการณ์ “ธุรกิจอาบ อบ นวด” ที่เคยเฟื่องฟูในอดีตคู่กับสังคมไทยมายาวนานที่อยู่ในช่วงขาลงกำลังจะกลายร่างให้บริการผ่าน Social ส่งสัญญาณใกล้ถึงตอนอวสานเริ่มนับถอยหลังลงทุกที...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม