เดือนมิถุนายนกลับมาเป็นเดือนแห่งความร้อนแรงสุดๆในทางการเมืองอีกครั้ง หลังจากที่เคยเกิดเหตุการณ์สำคัญสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย นั่นก็คือวันที่ 24 มิถุนายน 2475 วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นระบอบประชาธิปไตย อีกไม่กี่วันก็จะครบ 92 ปี ที่เปลี่ยนแปลงเดือนมิถุนายนของปี 2567 กลายเป็นเดือนสำคัญทางการเมืองอีกครั้ง เกิดคดีร้อนแรงทางการเมืองอย่างน้อย 4 คดี ได้แก่คดี 40 สว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ถอดถอนนายกรัฐมนตรี ในเรื่องที่เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ประจักษ์ และทำผิดจริยธรรมร้ายแรง คดีที่สองคือยุบพรรคก้าวไกล พรรคการเมืองใหญ่สุดของประเทศคดีที่สาม อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผู้นำตัวจริงของพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำรัฐบาล ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นสถาบัน ตาม ป.อาญา ม.112 ส่วนคดีที่สี่ คือคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 4 มาตราของกฎหมายเลือก สว.ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถือเป็น “นิติสงคราม” เป็นการต่อสู้ทางกฎหมายเป็นการต่อสู้ระหว่างนักกฎหมาย ระดับปรมาจารย์ของประเทศ แต่ไม่ใช่ภาพสะท้อนว่าการเมืองไทยก้าวหน้า เป็นประชาธิปไตยแล้ว เลิกการต่อสู้ด้วยกำลังมาสู้กันด้วยกฎหมาย แต่ความเป็นจริงก็คือ 92 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยเวียนว่ายอยู่ใน “วงจรอุบาทว์” คือรัฐประหาร ร่างรัฐธรรมนูญ เลือกตั้งแล้วรัฐประหารเปรียบเทียบกับบรรดาประเทศในเอเชีย ทุกประเทศล้วนเคยเป็นเมืองขึ้น ของนักล่าอาณานิคมฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ฯลฯ มีไทยเพียงประเทศเดียวที่สามารถรักษาเอกราช ยิ่งกว่านั้น ไทยยังเป็นประเทศแรกที่เปลี่ยนแปลงเป็นประชาธิปไตย แต่เป็นประชาธิปไตยที่ล้มลุกคลุกคลานแต่มีเพื่อนบ้านหลายประเทศ ที่เปลี่ยนแปลงทีหลัง สามารถพัฒนาประชาธิปไตยให้มั่นคงและก้าวหน้า หลังจากอยู่ใต้เผด็จการระยะหนึ่ง แต่บัดนี้กลายเป็นประชาธิปไตยที่มั่นคง เศรษฐกิจเติบโตรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ไตรมาสแรกปีนี้ จีดีพีไทยโตแค่ 1.5% ต่ำสุดในอาเซียนจีดีพีประเทศเพื่อนบ้าน พุ่งขึ้นตั้งแต่ 4% ถึง 6% คนไทยต้องถามตนเองว่าทำไม ในทางการเมืองไทยเคยเป็นดาวรุ่งประชาธิปไตยในกลุ่มอาเซียนในด้านเศรษฐกิจเคยเป็น “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ฟู่ฟ่า พัฒนาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ แต่เศรษฐกิจไทย ต้องพึ่งประชานิยมลดแลกแจกแถม.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม