เชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ย่อยใหม่ล่าสุด “KP.2” ระบาดแซงหน้าไวรัสโควิดตัวปัจจุบัน JN.1 ในหลายประเทศเช่น สหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์แล้ว และอีกไม่นานคงแทนที่เชื้อไวรัส JN.1 ทั่วโลกนักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาชื่อ ศาสตราจารย์ T.Ryan Gregory เป็นผู้ที่ตั้ง “ชื่อเล่น” เชื้อไวรัสตัวใหม่ตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้ว่า “FLiRT” อ่านว่า เฟลิร์ต แปลว่า “เจ้าชู้” จีบทุกคนไปทั่ว นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ แพทย์เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ บอกว่า ชื่อเล่นนี้กำลังโด่งดังไปทั่วโลก เขาตั้งชื่อนี้เพราะพบว่ามีการกลายพันธุ์ของกรดอะมิโนที่โปรตีนตรงส่วนหนามของเชื้อไวรัสเดิม 2 ตำแหน่ง คือที่ตำแหน่ง 456 จาก F เปลี่ยนเป็น L และที่ตำแหน่ง 346 จาก R เปลี่ยนเป็น Tเอาอักษรย่อทุกตัวมารวมกัน และใส่ i ตรงกลางเป็น “FLiRT”“เชื้อไวรัสสายพันธุ์ย่อยใหม่ KP.2 นี้ยอมรับว่าเฟลิรต์น่าดู ติดคนไปทั่ว ไม่ว่าจะเคยติดเชื้อไวรัสโควิดมาแล้ว หรือฉีดวัคซีนป้องกันโควิดไม่ว่ากี่เข็มก็ตาม ติดคนจำนวนมากที่ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยติดเชื้อแม้แต่ครั้งเดียว แต่โชคดีที่นอกจากความรุนแรงไม่ได้เพิ่มขึ้น กลับลดลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ”คนไทยไม่ต้องตื่นตระหนก ถ้าติดเชื้อตัวนี้...ก็ถือว่าเป็นการฉีดวัคซีนโควิดรุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อกระตุ้นตัวเราเองให้มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสโควิด นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ “คนทั่วไปที่ปกติแข็งแรงดี หากติดเชื้อ อาการไม่มาก กินยาตามอาการ เป็นเองหายเอง สำหรับคนสูงอายุ คนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อทราบว่าตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิดรีบไปพบแพทย์เร็วที่สุดเพื่อรับยาต้านไวรัส ยิ่งได้ยาเร็วยิ่งหายเร็ว” นพ.มนูญ ฝากทิ้งท้ายวารสาร Nature Communications (27 พ.ค.67) เผยแพร่ผลการประเมินความปลอดภัยการฉีดวัคซีนโรคโควิด-19 ในเด็กอายุ 5-17 ปี จำนวนกว่า 5.1 ล้านคนในประเทศอังกฤษวัคซีนที่ใช้มีทั้ง Astrazeneca, Pfizer และ Moderna ผลการประเมินพบว่า มีความปลอดภัยผล ข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นน้อยมาก และจะเห็นได้ว่าปัญหาภาวะรุนแรงที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 นั้นมีมากกว่าที่เกิดจากการรับวัคซีนอย่างชัดเจนรศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว “Thira Woratanarat (ป๊ามี้คีน)” เสริมอีกว่า โควิด-19 ในรัฐ New South Wales ออสเตรเลีย ตอนนี้ KP.2 และ KP.3 รวมกันเป็นสัดส่วนมากกว่า JN.1 ไปแล้ว“JN.1” อัปเดตสถานะของ JN.1 จะพบว่า แตกหน่อต่อยอด มีลูกหลานไปแล้วเกือบ 100 สายพันธุ์ย่อย ตัวที่ได้รับการจับตามองมาตลอดคือ KP.2 และ KP.3 ซึ่งพบเยอะขึ้นในหลายต่อหลายประเทศและ...ที่กำลังเป็นดาวรุ่งคือ LB.1.x ซึ่งตัวไวรัสนั้นมีการกลายพันธุ์โดยตัดกรดอะมิโนที่ตำแหน่ง 31 บนหนามเปลือกนอกออกไปวัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน...ติดกันตรึมมากช่วงนี้ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์“สัจธรรม...หากเพิกเฉย หรือล้มเหลวในการควบคุมป้องกัน เดิมพันย่อมไปอยู่ที่การเข้าถึงการตรวจ วินิจฉัย และรับการรักษาที่ได้มาตรฐาน หรือปล่อยให้วัดดวงกันไป ว่าจะเป็นน้อย เป็นมาก ไปจนถึงหายในรูปแบบต่างๆกัน...ความเหลื่อมล้ำทางสังคมจะเป็นตัวกำหนดทิศทาง”ต่อเนื่องไปถึงประเด็น “ลองโควิด (Long COVID)” ผลการติดตามประเมิน 3 ปี น่าสนใจทีมงานจากสหรัฐอเมริกาเผยแพร่ผลการติดตามประเมินผู้ป่วยที่เป็นลองโควิดหลังจากเกิดการติดเชื้อโรคโควิด-19 ทั้งแบบที่ไม่รุนแรง (non-hospitalized) และแบบที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล (hospitalized) รวมจำนวนถึง 135,161 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มประชากรที่ไม่ได้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวน 5,206,835 คนติดตามประเมินยาวนานถึง 3 ปี เพื่อดูว่าปัญหาอาการผิดปกติของ “ลองโควิด” นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง สาระสำคัญมีดังนี้... ในกลุ่มที่เป็นลองโควิดนั้นส่วนใหญ่ราว 90% ประสบปัญหาหลังจากที่ติดเชื้อโควิด-19 โดยอาการไม่รุนแรงกลุ่มผู้ป่วย “ลองโควิด” นั้นจะมีอัตราตายส่วนเกินจากทุกสาเหตุ สูงกว่ากลุ่มประชากรที่ไม่ได้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ทั้งนี้ กลุ่มที่ป่วยไม่รุนแรง มีอัตราตายส่วนเกินสูงกว่ากลุ่มควบคุมในช่วงปีแรก ในขณะที่กลุ่มที่ป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลนั้นจะมีอัตราตายส่วนเกินสูงกว่ากลุ่มควบคุมตลอด 3 ปีที่มีการติดตามประเมินผลความเสี่ยงในการเกิดอาการผิดปกติของลองโควิดขึ้นภายหลังที่ติดเชื้อโควิด–19 นั้นจะสูงสุดในช่วงปีแรกหลังติดเชื้อ จากนั้นจะลดลงตามลำดับเมื่อติดตามไปถึงปีที่ 3 พบว่าอาการผิดปกติของ “ลองโควิด” ในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบบไม่รุนแรงนั้น มักอยู่ในกลุ่มอาการด้านระบบประสาท...สมอง ทางเดินหายใจ และระบบทางเดินอาหารในขณะที่ในกลุ่มที่ติดเชื้อป่วยจนต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น อาการผิดปกติในช่วงปีที่ 3 ที่ยังคงอยู่นั้น มีหลากหลายระบบมากกว่ากลุ่มที่ป่วยไม่รุนแรง ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด สมอง...ระบบประสาท ปัญหาจิตเวช การแข็งตัวของเลือด ไต ทางเดินหายใจ อ่อนเพลีย ...เหนื่อยล้า ทางเดินอาหาร เป็นต้นอาการผิดปกติต่างๆข้างต้น ทำให้บั่นทอนสุขภาพ คุณภาพชีวิต และนำไปสู่ความสูญเสียตามมาทั้งในด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังค“การป้องกันตัวระหว่างใช้ชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดการเสี่ยงติดเชื้อ และป้องกันปัญหาลองโควิดได้ ดีกว่าจะทุกข์ใจ และปวดหัวหาทางแก้ไขปัญหาเมื่อเกิดขึ้นภายหลัง” การแพร่ระบาดของไทยตอนนี้ เชื่อมั่นว่ามาจาก “JN.1” และลูกหลาน เป็นไปตามธรรมชาติของโรคแบบที่ทั่วโลกดำเนินมาก่อน ถัดจากปลายเดือนมิถุนายนไป คาดว่าสัดส่วน JN.1 จะลดลง และเป็นช่วงที่ลูกหลาน JN.1 เช่น KP.2 KP.3 KP.3.2 รวมถึง LB.1 จะช่วงชิงสัดส่วนการระบาดกันตัวผลักดันหลักของการระบาดในไทยเรานั้นคือ พฤติกรรมเสี่ยงจากการไม่ป้องกันตัวระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งในวัยรุ่น นิสิตนักศึกษา วัยทำงาน และคนสูงอายุวิเคราะห์การระบาดของไทย (19-25 พ.ค.67)...คาดประมาณจำนวนคนติดเชื้อใหม่ต่อวันอย่างน้อย 12,865-17,868 ราย ลองดูตัวเลขกันจะพบว่าเดือนพฤษภาคมนี้ แม้ยังไม่หมดเดือน แต่ทั้งจำนวนผู้ป่วยปอดอักเสบ (2,457) ใส่ท่อช่วยหายใจ (1,010) และเสียชีวิต (45) ถือว่ามากที่สุดในทุกเดือนที่ผ่านมาโดยมากกว่าเดือนเมษายนถึง 2.1, 2.4, 2.4 เท่าตามลำดับ และหากเทียบพฤษภาคมปีนี้กับปีที่แล้ว จะพบว่า...ปอดอักเสบเยอะกว่าปีก่อน 1.8 เท่า ใส่ท่อช่วยหายใจมากกว่าปีก่อน 1.3 เท่าการเจ็บป่วยนั้นทรมาน ไม่น่าอภิรมย์...ป่วยนอนอยู่บ้านหลังติดโควิด ไม่ใช่การหยุดงานพักผ่อนชิลๆเหมือนไปเที่ยว แต่เสี่ยงป่วยรุนแรง ตาย และเกิดปัญหาระยะยาวอย่างลองโควิดได้ด้วย นำเสนอตัวเลขเทียบกันให้เห็นชัดๆแล้ว คงขึ้นอยู่กับตัวของเราแต่ละคนว่าจะปฏิบัติตัวกันอย่างไร“การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ ใส่ใจสุขภาพ รับผิดชอบต่อตัวเองและสังคม จะช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อติดเชื้อลงไปได้มาก ปัจจุบันโควิด-19 ระบาดมากจริงๆ ดังที่เราเห็นกันรอบตัว... ความเสี่ยงขึ้นกับพฤติกรรมของเราครับ” รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ กล่าวทิ้งท้าย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม