หัวหน้าทีมซอกแซกติดตามการแข่งขัน การประกวดดนตรีลูกทุ่ง โรงเรียนมัธยมทั่วประเทศในรายการ “ชิงช้าสวรรค์” ของ เวิร์คพอยท์ ทีวี มาอย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะดูบ้างไม่ดูบ้าง เพราะติดภาระกิจในบางเสาร์ แต่ในรอบ สุดท้ายที่จะชี้ขาดว่าโรงเรียนใดจะ “คว้าแชมป์” ไปครองนั้นไซร้หัวหน้าทีมจะจัดคิวเวลาไว้เลย ไม่รับนัดใครๆรวมทั้งเมื่อวันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม 2567 ช่วงบ่ายๆ ซึ่งเป็นช่วงชิงแชมป์ของทีม 3 ทีมจาก 3 โรงเรียนที่ได้คะแนนดีที่สุด ผ่านเข้าสู่รอบ 3 ทีมสุดท้าย ได้แก่ โรงเรียนโยธินบูรณะ (กทม.) โรงเรียนศึกษานารี (กทม.) และ โรงเรียนสังขะ (จังหวัดสุรินทร์)ผลการแข่งขันจบลงด้วยชัยชนะของโรงเรียนสังขะ ที่สามารถคว้าแชมป์ “ชิงช้าสวรรค์ 2024” พร้อมถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกุมารี และเงินรางวัล 1 ล้านบาทไปครองโดย โรงเรียนศึกษานารี ได้รองแชมป์อันดับ 1 รับทุนการศึกษา 5 แสนบาท และ โรงเรียนโยธินบูรณะได้รองแชมป์อันดับ 2 รับทุนการศึกษา 3 แสนบาททั้ง 2 เพลงที่ โรงเรียนสังขะ นำมาใช้ประกวดในรอบสุดท้าย ได้แก่ เพลง “ลูกบ่แพ้” ของ พงษ์ศักดิ์ ถนอมใจ ซึ่งเป็นเพลงจากละครทีวี เรื่อง “ทายาทพันธุ์ข้าวเหนียว”อีกเพลงก็ไพเราะมาก “คือเธอใช่ไหม” เพลงประกอบละคร “รัก 10 ล้อ รอ 10 โมง” แต่งเนื้อร้องทำนองโดย พงษ์ศักดิ์ ถนอมใจ ขับร้องต้นฉบับโดย ต่าย อรทัย และ เก็ตสึโนวา ที่ฮิตมากเมื่อประมาณ พ.ศ.2562ทั้ง 2 เพลง ผู้เขียนบทของโรงเรียนสังขะนำมาใช้ในการเล่าเรื่องตำนานพื้นบ้านที่เล่ากันอยู่ในภาคอีสานล่างได้อย่างเหมาะเจาะประกอบกับฉากที่อลังการและการร่ายรำของแดนเซอร์ หรือภาษาลูกทุ่งก็คือ “หางเครื่อง” อย่างสวยงาม เข้าจังหวะจะโคน และยอดเยี่ยมที่สุด คือการบรรเลงของนักดนตรีซึ่งใช้เครื่องดนตรีทั้งพื้นบ้านและสากลมาบรรเลงร่วมกันอย่างไม่มีที่ติ... จน “ครูหนึ่ง” หนึ่ง จักรวาล บอกว่าไม่รู้จะติอะไรเลยหัวหน้าทีมซอกแซกเป็นแฟนทั้ง 3 โรงเรียนเอาใจช่วยทุกโรงเรียนตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับแอบให้คะแนนเอาไว้ด้วยเช่นกัน และคะแนนในแผ่นกระดาษที่หัวหน้าทีมเขียนไว้หลังจบการแสดง ก็ออกมาที่ โรงเรียนสังขะ จังหวัดสุรินทร์ เช่นเดียวกับกรรมการทั้ง 3 ท่านที่จะต้องปรบมือให้เป็นพิเศษก็คือ “นักร้องนำ” หรือ “น้องแตงโม” ซึ่งยังใช้คำว่า “ด.ญ.” นำหน้าชื่อ และเรียนอยู่ชั้นมัธยมปีที่ 2 เท่านั้น...สุ้มเสียงของน้องสดใสมาก ถอดแบบ ต่าย อรทัย มาได้หลายส่วน หากโตขึ้นกว่านี้แล้วเสียงไม่แตก อนาคตของเธอน่าจะเป็นนักร้องลูกทุ่งในระดับแถวหน้าอย่างแน่นอนจากชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของ โรงเรียนสังขะ ทำให้หัวหน้าทีมซอกแซกอดที่จะคลิกเข้าไปดูประวัติของโรงเรียนและอำเภอแห่งนี้เสียมิได้ในเว็บไซต์ของโรงเรียน ระบุว่าโรงเรียนสังขะตั้งขึ้นโดยกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2514 ในที่ดินของทางราชการที่สงวนไว้ ณ หมู่ที่ 1 บ้านขวาว ตำบลสังขะ อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ และ นายบุญศรี บุญสุยา ศึกษาธิการอำเภอขณะนั้น เป็นผู้ดำเนินการจัดตั้งโดยยื่นเรื่องต่อกรมสามัญศึกษา มีนักเรียนรุ่นแรก (ชาย-หญิง เพราะเป็นโรงเรียนสหศึกษา) แค่ 2 ห้อง รวม 74 คนเท่านั้น และมีครูอาจารย์เพียง 4 ท่าน โดยมี นายชุมพร มะวิญธร รับราชการในตำแหน่งครูใหญ่ช่วงแรกๆอาคารหลักยังสร้างไม่เสร็จต้องไปอาศัยเรียนที่หอประชุมอำเภอสังขะและศาลาการเปรียญวัดโพธารามปีต่อมาจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 199 คน และครูอาจารย์ 9 คน นักการภารโรง 1 คน ก็พอดีอาคารโรงเรียนหลังใหญ่แล้วเสร็จ จึงอพยพไปปักหลักเมื่อปี 2515 เป็นต้นมาสำหรับปัจจุบัน ยอดจำนวนนักเรียนทั้งสิ้นเท่าที่ตรวจสอบได้ก็คือ 2,189 คน แยกออกระดับมัธยมต้น (ม.1-ม.3) 1,010 คน มัธยมปลาย (ม.4-ม.6) 1,179 คน เพิ่มขึ้นจากวันแรกตั้งที่มีนักเรียน 74 คน ถึงเกือบ 30 เท่าโดยมี ปรัชญา ของโรงเรียน ณ ปัจจุบันว่า “สุวิชฺชา โลกวฑฺฒนา...ความรู้ดี ทำให้โลกเจริญ” ตามมาด้วย อัตลักษณ์ ของโรงเรียนคือ “ยิ้มง่าย ไหว้สวย” และข้อสุดท้าย เอกลักษณ์ ของโรงเรียนกำหนดไว้ว่า “กีฬาเด่น ดนตรีพร้อม สิ่งแวดล้อมสวยงาม”สำหรับผลการสอบ O-NET ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปี 2564 กับ 2565 พบว่า ภาษาไทย ทำได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยทั้งระดับพื้นที่และระดับชาติ พอสมควรทีเดียว สังคมศึกษา ก็ดีกว่าระดับพื้นที่และระดับชาติเล็กน้อย ภาษาอังกฤษ แม้จะต่ำแต่ก็ยังดีกว่าระดับพื้นที่ และระดับชาติที่ต่ำยิ่งกว่าไปที่ คณิตศาสตร์ ปี 2564 ต่ำกว่าระดับพื้นที่ และระดับประเทศเล็กน้อย แต่มาฮึดเอาชนะทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศเล็กน้อยในปี 2565 ถัดมาสุดท้าย วิทยาศาสตร์ ผลเฉลี่ยสูงกว่าระดับพื้นที่และระดับชาติในเปอร์เซ็นต์ที่น่าชื่นใจแสดงว่าทางโรงเรียนก็ได้ทำตามปรัชญาที่วางไว้ คือการพัฒนาความรู้ให้แก่เด็กจนเด็กสอบได้เหนือเกณฑ์ของเด็กไทยในทุกหมวดย้อนหลังกลับไปสู่ช่วง พ.ศ.2514-2515-2516 จะเป็นช่วงเวลาที่กระทรวงศึกษาธิการขยายโรงเรียนมัธยมชั้นสูงสุดคือ ระดับ ม.6 ลงสู่อำเภอต่างๆจำนวนมาก จนเกิดคำถามว่าจะเป็นการสร้างช่องว่างทางการศึกษาหรือไม่ ระหว่างโรงเรียนในตัวจังหวัดกับโรงเรียนระดับอำเภอ ซึ่งขาดแคลนครูอาจารย์แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป เราก็พบว่าการขยายโรงเรียนมัธยมลงสู่อำเภอนั้นถูกต้องแล้ว เพราะเป็นการเปิดโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาแก่เด็กยากจน ในชนบทที่ไม่มีหนทางที่จะมาเรียนในเมืองหรือใน กทม.ได้พวกเขาหรือเธออาจไม่เก่งเท่าๆเด็กในเมืองใหญ่ แต่ก็มีความรู้สูงขึ้นกว่าเดิม และสามารถจะเข้ามาสู้ชีวิตในเมืองใหญ่ได้ในภายหลัง โดยไม่ถูกคนเก่งกว่าเอารัดเอาเปรียบที่สำคัญเด็กๆชนบทจำนวนมากได้มีโอกาสแสดงความสามารถของพวกเขาและเธอที่เหนือกว่าเด็กเมืองในหลายๆความสามารถด้วยกัน โดยเฉพาะด้าน “กีฬา” และ “ดนตรี” รวมไปถึง “งานศิลปะ” ต่างๆขอปรบมือให้แก่โรงเรียนสังขะอีกครั้งและขอให้กำลังใจแก่เด็กนักเรียนมัธยมระดับอำเภอทุกๆอำเภอทั่วประเทศไทย.“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “ซูมซอกแซก” เพิ่มเติม