คอการเมืองส่วนใหญ่อาจเชื่อว่าถ้าเป็นรัฐบาลผสม มักจะเกิดความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีต่างพรรค แต่บางคนอาจแย้งว่า แม้จะเป็น “พรรค” เดียวกันก็อาจขัดแย้งได้เช่นเดียวกัน ถ้ารัฐมนตรีเป็น “คนละพวก” เพราะการเมืองไทยยังไม่ใช่ “ระบบพรรค” แท้ แต่ยังมีความเป็น “ระบบพรรคพวก” อยู่เห็นได้ชัดที่สุด คือความขัดแย้งในรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค แต่มีความขัดแย้ง แม้แต่ในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล นั่นก็คือ การลาออกของนายปานปรีย์ พหิทธานุกร หลังจากที่รู้ว่าต้องหลุดจากรองนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีต่าง ประเทศตำแหน่งเดียว รองนายกรัฐมนตรีสำคัญนักหรือจากการติดตามข่าวการเมืองไทย และการเมืองต่างประเทศทั่วโลกดูเหมือนจะไม่มีประเทศไหนที่มีรองนายกรัฐมนตรีถึง 6 คน หรือครึ่งโหล รองนายกรัฐมนตรีมี “อำนาจ” อะไรนักหนา แต่อาจมี “บารมี” เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเมื่อต้องติดต่อกับต่างประเทศ จึงไม่พอใจเมื่อต้องหลุดไปส่วนความขัดแย้งระหว่างรัฐมนตรีต่างพรรค ได้แก่ กรณีที่นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หลังจากมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการใหม่ นายกฤษฎาถือว่าไม่ให้เกียรติ เพราะรัฐมนตรีว่าการมอบ หน่วยงานเล็กๆให้ดูแล ทั้งที่ตนเคยเป็นปลัดกระทรวงมาก่อนแต่น่าแปลกใจ นายกฤษฎานอกจากจะลาออกจากรัฐมนตรีแล้ว ยังลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติอีกด้วย น้อยใจเพราะพรรคไม่ปกป้องหรือไม่ ส่วนการขัดแย้งระหว่างพรรคร่วมของจริง คือพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย หลังจากที่นายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน สั่งกระทรวงสาธารณสุขให้ออกกฎกระทรวงแก้ให้กัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติด โดยไม่ได้ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นเจ้าของนโยบายกัญชาเสรี และเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอันดับ 2 คล้ายกับว่าอยู่ดีๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็สั่งให้ สส. ของพรรคลงมติล้มโครงการเติมเงินดิจิทัล ของพรรคเพื่อไทยนโยบาย “กัญชาเสรี” อาจกลายเป็น “กัญชาสามัคคีเภท” สร้างความแตกสามัคคี ระหว่างสองพรรคใหญ่ในรัฐบาล แต่ดูเหมือนผู้นำทั้งสองพรรคประนีประนอมกันได้ ไม่ให้ลุกลามบานปลาย ถึงกับล้มรัฐบาลได้ ถ้าไม่มี สส.ภท. 71 เสียง รัฐบาลจะสูญเสียเสียงข้างมาก ที่ สว.ลากตั้งไม่อาจช่วยได้.คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม