ขึ้นชื่อว่านิทาน ก็นึกกันว่า ผู้ใหญ่ชอบหามาเล่า เพื่อสอนเด็กๆ ชื่อเรื่อง ชามวิเศษของหมีน้อย จากหนังสือเรื่องคมๆความหมายชวนคิด (สุริยเทพ ไชยมงคล เรียบเรียง สำนักพิมพ์อินสไปร์ พ.ศ.2553) ฟังอีกครั้งนี้ ผมเพิ่งคิดได้ เป็นนิทานสอนผู้ใหญ่ในป่ามีหมีน้อยตัวหนึ่ง ทั้งวันมันไม่ทำอะไรเลย นอกจากกิน นอน และเที่ยวเล่นที่เป็นเช่นนั้น เพราะหมีน้อยมีชามเหล็กอยู่ใบหนึ่ง ในชามมีของกินอร่อยเต็มอยู่เสมอคงเป็นเพราะหิวเมื่อไหร่ก็เป็นได้กิน หมีน้อยจึงคิดว่ามันเป็นชามวิเศษ มันต้องเป็นชามวิเศษ เพราะมีอาหารผุดขึ้นมาไม่เคยขาด กินเท่าไรก็ไม่หมดแล้วก็ถึงวันนั้น วันที่แม่หมีออกไปหาอาหารนอกถ้ำ และวันนั้นแม่หมีพลาดตกลงไปในบ่อน้ำที่สูงชัน มันพยายามป่ายปีนอย่างไร ก็ขึ้นไม่ได้วันแรก หมีน้อยไม่รู้สึกอะไรที่แม่หายไป เพราะในชามเหล็กยังมีอาหารเพียงพอเวลาผ่านไปไม่กี่วัน หมีน้อยจึงเห็นว่าในชามว่างเปล่า มันจึงรู้ความจริง นี่ไม่ใช่ชามวิเศษเสียแล้ว ที่แท้อาหารประดามีเหล่านั้น แม่หมีเป็นผู้หามาให้เวลาผ่านไปในที่สุด แม่หมีที่ใช้ความพยายาม ปีนขึ้นจากบ่อน้ำมาได้ ทันทีนั้นแม่หมีก็กระโจนจากปากบ่อ วิ่งตะบึงจนไปถึงถ้ำมันก็พบว่า เจ้าหมีน้อย นอนตายอยู่ข้างชามวิเศษนั่นเองเรื่องคมๆเรื่องนี้ มีคำอธิบายความหมายชวนคิด ขึ้นต้นว่า ดาบสองคมของความรัก ใครๆต่างก็ชื่นชมความรัก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของการให้ การเสียสละ การไม่เห็นแก่ตัว มีสิ่งที่ดีงามมากมายเกิดขึ้นตามความรักแต่มีน้อยคนนักที่จะพบความจริง อีกด้าน ด้านตรงข้ามพ่อแม่ที่ให้ความรัก ประคบประหงมลูกมากเกินไป มักทำให้ลูกกลายเป็นคนอ่อนแอ ขาดโอกาสที่จะได้คิดและตัดสินใจในสถานการณ์ที่ท้าทายหรือพลิกผัน ไม่ได้เรียนรู้ประสบการณ์ที่จำเป็นต่อชีวิตในอนาคตพ่อแม่นกผลักลูกนกให้ออกจากรัง เพื่อสอนให้ลูกนกหัดบิน ให้เคยชินกับสิ่งแวดล้อมที่จะเผชิญในวันหน้าสิงโตฝึกให้ลูกออกหาอาหารกินเอง เพื่อให้ลูกรู้จักการอยู่รอดได้ด้วยตัวเองในจีน นโยบายลูกคนเดียว กำลังสร้างปัญหาใหญ่ เด็กคนเดียวในครอบครัว ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างมารุมล้อมเอาอกเอาใจ ส่งผลให้เด็กจำนวนมากเอาแต่ใจตัวเอง จิตใจอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทานเวลาเผชิญหน้าอุปสรรคความรักของพ่อแม่ เป็นสิ่งที่ดี แต่พ่อแม่ที่ฉลาด ควรฝึกให้ลูกก้าวเดินไปบนลำแข้งของตัวเอง ปล่อยให้เขาเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างๆด้วยตัวเอง หากอยากจะช่วย ก็ควรแค่ให้คำปรึกษาอยู่ห่างๆความรักที่มากเกินไปของพ่อแม่ อาจเป็นการทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัวอ่านทั้งเรื่องคมๆ และคำอธิบายความหมายชวนคิดแล้ว...ผมอยากให้คนเป็นพ่อแม่มองไปที่ลูกๆ ในสมรภูมิการเมืองสมรภูมินี้ไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่บริษัท หรือองค์กรที่พ่อแม่เป็นใหญ่ แม้ลูกจะปล่อยเรื่องเอ๋อเหรอมากน้อยแค่ไหนเหล่าบริวาร ทำได้อย่างอย่างมากก็แค่อมยิ้มแต่ในสมรภูมิการเมือง นี่คือสมรภูมิแห่งการต่อสู้ฟาดฟันกันจริงจัง แค่ปล่อยให้ลูกปล่อยมุกผิด เรื่องเล็กน้อยครั้งสองครั้ง ก็ว่าหนักหนา แต่การปล่อยให้พลาดพลั้งครั้งล่า...สมรภูมิการเมืองเขาเอากันถึงตายใช่ว่า พ่อจะไม่เคย เคยแล้ว บทเรียน 17 ปี เป็นบทเรียนแห่งความหลังที่ไม่ควรผ่านเลยหรือคิดว่าบทเรียนเรื่องไม่มีแผ่นดินอยู่ ทั้งพี่น้อง แม่ลูก ควรจะได้เรียนรู้ไปด้วยกันถ้าแน่ใจ ถ้าสมัครใจไปตามนั้น ก็ทางใครทางมัน เพราะเคยรักกัน ก็ขอเตือนกันแค่นี้.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม