แนวโน้มเปิดแน่สำหรับ “บ่อนกาสิโนถูกกฎหมายแห่งแรกในไทย” อยู่ภายใต้ร่มสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) ที่ผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วเมื่อ 28 มี.ค.2567หลังจากนี้คงเป็นหน้าที่ “คณะรัฐมนตรี (ครม.)” ในการพิจารณาเห็นชอบเดินหน้าศึกษาเชิงลึกในรายละเอียดต่อให้รัดกุมแล้วออกกฎหมายลูกนำเสนอเข้าสู่สภาฯพิจารณาตราเป็นกฎหมายต่อไป และในเรื่องนี้ “ฝ่ายรัฐบาล” ก็ส่งสัญญาณรับลูกดันกาสิโนถูกกฎหมายชัดเจน เพื่อควบคุมกำกับดูแล และเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องแม้แต่ “ฝ่ายค้านยังเอนเอียงเห็นด้วย” จนเสียงค้านแผ่วเบามีเพียงภาคประชาชน และนักวิชาการไม่กี่คนแสดงจุดยืนต้านการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายนี้ ธนากร คมกฤส เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์หยุดพนัน บอกว่าสำหรับ “ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ..” ที่ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจรฯ เสนอที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรรับรองนั้น “เป็นการจัดทำร่างกฎหมายตุ๊กตาเตรียมพร้อมไว้” สำหรับการศึกษา หรืออภิปรายแก้ไขกันต่อภายหลัง แต่อันที่จริงแล้ว “การเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทย” เป็นเรื่องถูกหยิบยกส่งสัญญาณมาตั้งแต่รัฐบาลชุดก่อนแล้วด้วยท่าที “ฝ่ายการเมืองทุกขั้ว” ต่างเห็นพ้องต้องการให้มีกาสิโนในประเทศตามที่ “กมธ.วิสามัญฯอภิปรายในสภาฯ” อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพียงแต่มีเนื้อหาบางประเด็นเห็นต่างกันเล็กน้อยเท่านั้นทำให้สังคมส่งสัญญาณตั้งคำถามว่า “ภาครัฐมีความพร้อมดูแลผลกระทบมากน้อยเพียงใด...?” ด้วยประชาชนบางส่วนขาดความเชื่อมั่นในการจัดการกับปัญหาหลังเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศ เพราะที่ผ่านมา “ฝ่ายการเมือง”พยายามเน้นยกประเด็นเหตุผลทางเศรษฐกิจมาเป็นแรงหนุนให้ผู้คนมีความหวังคล้อยตามแล้วหากว่ากันตามตรง “เรื่องรายได้ทางเศรษฐกิจ” ถูกนำเสนอมาก็ไม่มีเหตุผลเป็นประจักษ์ยืนยันได้ชัดเจนแม้แต่จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังประธาน กมธ.วิสามัญฯศึกษาเรื่องนี้ยังชี้แจงต่อสภาฯถ้าเดินหน้าเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายต้องศึกษาความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมว่าโครงการทำไปแล้วจะประสบความสำเร็จหรือไม่เพราะด้วย “กมธ.วิสามัญฯ” ไม่มีงบประมาณศึกษาความเป็นไปได้ในเรื่องเศรษฐกิจนี้ ดังนั้นถ้าจะเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศต้องใช้งบประมาณ “รัฐบาล” ทำการศึกษาเพิ่มเติมเนื่องจากผลการศึกษาในต่างประเทศไม่สามารถยืนยันได้ว่า “จะนำมาปรับใช้กับประเทศไทยได้จริงหรือไม่” เพราะลักษณะประเทศมีความแตกต่างกันหนำซ้ำในปัจจุบัน “เอเชียต่างถูกล้อมด้วยบ่อนกาสิโน” ที่กำลังเติบโตขยายตัวอย่างมากในตลาดมีทั้งผู้ประกอบการรายใหม่และรายเก่า อย่างล่าสุดเดือน มี.ค.2567 “ฟิลิปปินส์ประกาศเป็นฮับของกาสิโนแข่งกับสิงคโปร์” จึงมีคำถามว่าประเทศไทยเปิดกาสิโนรายใหม่เช่นนี้ “จะชูจุดแข็งใด” เพื่อแข่งกับผู้ประกอบการเจ้าเก่าได้นั้นดังนั้นการเปิดบ่อนกาสิโนในประเทศควรมีการศึกษา “ความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจเสียก่อน” เพราะโครงการนี้ต้องลงทุนมหาศาล “ทั้งด้านเศรษฐกิจ และลงทุนทางสังคม” ที่จะก่อเกิดปัญหาตามมามากมายประเด็นคือ “นโยบายฝ่ายการเมือง” ต้องการมีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศแน่ๆ “เพียงแต่รูปแบบ ขนาด สถานที่ตั้ง จำนวน โดยใครเหล่านี้ยังไม่มีความชัดเจน” แต่ก็เชื่อว่าฝ่ายสนับสนุนน่าจะมีการเดินหน้าประเมินความพร้อมทั้งประชาชน สังคม กลุ่มนักลงทุน ฝ่ายภาครัฐ ดำเนินการเตรียมไว้เรียบร้อยหมดแล้ว“เรื่องนี้มีการโยนหินถามทางมาเรื่อยๆจนนำมาสู่การร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ 10 หมวด 69 มาตรา ทั้งกำหนดนิยาม โครงสร้างคณะกรรมการนโยบายการประกอบ และธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ดังนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะเดินหน้าร่างกฎหมายใหม่ หรือหยิบยก พ.ร.บ.ฉบับของ กมธ.วิสามัญฯมาทั้งหมด” ธนากรว่า ปัญหามีข้อสังเกตว่า “ร่าง พ.ร.บ.ฉบับของ กมธ.วิสามัญฯ” ค่อนข้างมีช่องโหว่หลายประเด็นอย่างเช่นกรณีใช้คำว่า “เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” อันเป็นร่มใหญ่เบี่ยงเบนจุดโฟกัสไม่ให้มุ่งเป้าไปยังการเปิดบ่อนกาสิโน กลายเป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ในกิจการบัญชีแนบท้ายประเภทธุรกิจของสถานบันเทิงครบวงจร 12 รายการส่วนใหญ่แล้ว “มีกฎหมายรองรับเฉพาะอยู่เดิม” ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องนำมาบรรจุไว้ในร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯด้วยซ้ำ ถ้าหากกล้าหาญจริงๆ “ควรหยิบยกชูประเด็นการเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยตรงไปตรงมา” ด้วยการออกร่าง พ.ร.บ.กาสิโนขึ้นมาใหม่เป็นการเฉพาะเจาะจงไปเลยโดยไม่มีความจำเป็นต้องนำมาซุกไว้ “ใต้ร่มร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ” เพราะทำให้จุดโฟกัสไม่ชัดเจนส่งผลให้การเขียนกฎหมายทำได้ยากขึ้น แล้วยิ่งข้อเสนอ กมธ.วิสามัญฯเปิดกรอบกว้างสามารถเปิดบ่อนกาสิโนได้ 66 จังหวัด “แถมเปิดช่องให้มีบ่อนได้ทุกขนาด” ตั้งแต่ size S บ่อนกาสิโนขนาดเล็กอยู่ตามชุมชนทั้งยังมี “size M” เป็นบ่อนกาสิโนในระดับอำเภอ “size L” กาสิโนแบบระดับจังหวัดตั้งอยู่ในหัวเมืองใหญ่ หรือจังหวัดแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ“size XL” เป็นกาสิโนขนาดใหญ่ต้องใช้พื้นที่เฉพาะแต่ตามหลักการขนาด sizeS,M ส่วนใหญ่มักเรียกว่า “บ่อนการพนัน” มิใช่บ่อนกาสิโนที่มีลักษณะขนาดใหญ่ถ้าย้อนดูตามรายงาน “กมธ.วิสามัญฯ” มีการเสนอขึ้นต้นโมเดลบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทยนั้น “ถูกถอดแบบมาจากเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ และระบบการกำกับดูแลจากโมเดลประเทศสิงคโปร์” แต่เอาเข้าจริงเท่าที่สังเกต “ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ” กลับคล้ายคลึงโมเดลของกัมพูชาแทนข้อสังเกตจากการรวมอำนาจไว้ที่บอร์ดนโยบายหรือซุปเปอร์บอร์ด 9คนโดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน รองนายกฯ 1 คน รมว.คลัง รมว.การท่องเที่ยวฯและ รมว.มหาดไทย แล้วมีผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คนแต่งตั้งจาก “นายกฯ” กลายเป็นคณะฝ่ายการเมืองทั้งหมดที่มีอำนาจกำหนดความเป็นไปของเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์แทบทุกอย่าง ต่อมาคือ “บอร์ดบริหาร” ที่มาจากปลัดกระทรวงต่างๆ เลขาธิการปปง. เลขาธิการบีโอไอ ผบ.ตร. ที่เป็นข้าราชการประจำ เข้ามาทำหน้าที่แม่บ้านในการบริหารจัดการตามคำสั่งของซุปเปอร์บอร์ดเท่านั้น “ไม่มีอำนาจในการถ่วงดุลการตัดสินใจใดๆ” โดยมี สนง.กธบ.ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการเสมือนเป็นมือไม้รับไปปฏิบัติโครงสร้างนี้ “เป็นลักษณะขาเดียวแบบแนวดิ่ง” แตกต่างจากหลักการของ “สิงคโปร์” ที่แยกอำนาจเป็น 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายกำกับดูแลการประกอบกิจการกาสิโนด้านหนึ่ง อีกฝ่ายดูแลปัญหาและผลกระทบ โดยฝ่ายกำกับดูแลจะกำหนดมาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวดภายใต้หน่วยงานที่น่าเชื่อถือเรื่องนี้สิงคโปร์ขึ้นชื่อมากอยู่แล้วฉะนั้น “ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯ” กำลังยกให้ซุปเปอร์บอร์ดมีอำนาจสูงสุดแล้วเป็นกลุ่มเห็นดีเห็นงามการมีกาสิโน “เพื่อมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ” ย่อมทำให้ซุปเปอร์บอร์ดต้องอุ้มออกกฎเอื้อต่อทุนกาสิโน ส่งผลให้ “บอร์ดบริหาร และฝ่ายเลขาฯ” ต้องคล้อยตามนโยบายกลายเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่เพราะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามากำกับดูแลเข้มงวดกวดขัน “กิจการกาสิโน” ที่ฝ่ายบริหารสนับสนุนหวังพึ่งพาอยู่นั้น กลายเป็นสวนทางกับข้อกล่าวอ้างที่จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดในการควบคุมกำกับดูแลยิ่งกว่านั้นการอนุญาตให้ “เปิดบ่อนกาสิโน size S, M” อันเป็นขนาดเล็กที่ไม่เหมาะกับนักท่องเที่ยวเข้าเล่นได้อยู่แล้ว สุดท้ายกลายเป็น “คนไทย” ที่จะเข้าไปเล่นแทนส่งผลให้เกิดการย่อหย่อนมาตรการนำมาสู่บัญชีแบบท้ายรายงานเขียนไว้ว่า “ไม่ควรกำหนดเงื่อนไขเข้มงวดเกินไป” เพราะจะทำให้คนไทยเข้าเล่นในบ่อนไม่ได้ ในส่วน “บทลงโทษ” ต่างมุ่งเน้นโทษปรับเป็นหลัก “ไม่มีโทษจำ” ดังนั้นร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจรฯมีช่องโหว่เยอะแถมในรายงานยังระบุการรับฟังความคิดเห็นสามารถทำผ่านทางออนไลน์ก็ได้ ฉะนั้นเรื่องนี้คนไทยให้ความสนใจมากเกรงว่าจะส่งผลกระทบทางสังคมจึงอยากเรียกร้องให้ทำประชามติอย่างในหลายประเทศทำกันแล้วย้ำว่า “การเปิดบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในไทย” ควรทำอย่างรอบคอบ ศึกษาอย่างรอบด้าน และวางมาตรการอย่างรัดกุม “เพื่อให้เกิดผลกระทบตามมาน้อยที่สุด” มิเช่นนั้นจะกลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม